สุขสวัสดิ์ปีวัว ๒๕๕๒

สุขสวัสดิ์ปีวัว ๒๕๕๒

เป็นธรรมดาของผู้คนบนโลกนี้ ที่จะมีการเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยยึดเอาวันที่1ของเดือนมกราคม ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ การเฉลิมฉลองทั้งหลายจะมีขึ้นทั่วโลก ตามโซนเวลาของแต่ละประเทศ จะมีประเพณีนับถอยหลังเข้าสู่วันใหม่ของปีอาจเป็นการเฉลิมฉลองตั้งแต่ปาร์ตี้เล็กๆ ไปจนถึงงานเคาท์ดาวน์รวมคนเป็นหมื่นเป็นแสน (บ้านเราคงไม่แปลกใจกันเท่าไร เพราะปีที่ผ่านมาก็มีการชุมนุมกันเป็นหมื่นเป็นแสนตลอดทั้งปี ฮ่า)

เทคโนโลยี และวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ทำให้มนุษย์สามารถที่จะสร้างสิ่งช่วยในการเฉลิมฉลองให้สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ยิ่งใหญ่อลังการ แม้จะเผาผลาญงบประมาณหรือเงินจำนวนมากในช่วงเทศกาลวันปีใหม่นี้ ผู้คนจำนวนมากก็ยินยอม

ต่างจากในอดีต ประเพณีเฉลิมฉลองเป็นไปแบบเรียบง่าย(คุณย่าบอก) ไม่มีงานชุมนุมคนจำนวนมาก ไม่มีงานใหญ่โตเฉกเช่นทุกวันนี้ ไม่มีแสงสีเสียงหรือพลุสวยงาม อาจอธิบายได้ว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไป โดยเรารับวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองยินดีจากทางตะวันตกเข้ามามากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ การเฉลิมฉลองใดใดก็ตาม หากมีวัตถุประสงค์และวิธีการที่ดี ก็เปรียบเสมือนงานมงคล ที่คอยเติมเต็มกำลังใจของผู้ร่วมงาน ให้ต่อสู้ชีวิตบนโลกใบนี้กันต่อไปหลายคนบอกว่า นี่ทำให้ชีวิตมีสีสัน มากขึ้น แต่ก็ระวังหมดบั้นท้าย (ภาษาสุภาพ) ก็แล้วกันนะครับ

หากแต่บทเรียนจากทุกๆปี คอยย้ำเตือนคนให้ระมัดระวัง อุบัติเหตุ หรือเภทภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลนี้ได้ บางครั้งแม้เราจะระมัดระวังแล้ว หากคนข้างๆไม่ระมัดระวัง เราก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วยได้ ที่กล่าวมานี้หมายถึงทั้งเรื่องการเฉลิมฉลองด้วยไฟ พลุ หรือวัตถุอันตรายต่างๆ และรวมไปถึงอุบัติเหตุจากการเดินทาง ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เขาจึงเรียกช่วงเทศกาลนี้ว่า “7วันอันตราย” นั่นเอง

สิ่งที่เป็นต้นเหตุอีกอย่างหนึ่ง ที่คนโทษกันว่าทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็คือ “สุรา” สุราทำให้ผู้คนขาดสติ ขาดความระมัดระวัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยๆ

แต่ความจริงทั้งหมดคือ ไม่ว่าจะดื่มสุราหรือไม่ หากประมาท ก็ล้วนทำให้เกิดแนวโน้มอุบัติเหตุต่อชีวิต และทรัพย์สินทั้งสิ้นดังนั้นจงตั้งสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ประมาท

ปีใหม่ กับการก้าวต่อไปของชีวิต… ล้วนเหมือนกันตรงที่ว่า เมื่อเรามองย้อนไปยังอดีต ไปยังปีเก่าๆ ถึงสิ่งที่เราได้ทำ สิ่งที่เราได้คิด สิ่งที่เราได้รับ ล้วนเป็นบทเรียน…

บทเรียนที่จะทำให้เราคิดว่าเราควรมุ่งต่อไปในทางใด ได้ทบทวนตนเอง การกระทำใดดีและควรทำ การกระทำใดไม่ดีและควรหลีกเลี่ยง บทเรียนตั้งแต่เรื่องการคบแฟน, การเรียน, การดำรงชีวิต ไปจนถึงเรื่องระดับใหญ่ๆ เช่น เศรษฐกิจ, การเมือง, ภาวะโลกร้อน, โอบามา, โอวบามาร์ค ฯลฯ

บทเรียนที่จะทำให้เราระมัดระวังทุกขั้นตอนของชีวิต อย่าได้ยึดติดกับความผิดพลาดเดิมๆ จนไม่กล้าก้าวเดินต่อไป และอย่าผิดพลาดซ้ำรอยประวัติศาสตร์(เช่นเดือนตุลาทมิฬ มีตุลาทมิฬแล้วทมิฬอีก จนไหม้เกรียม เป็นเรื่องน่าเศร้าสลด และขออย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย)

เราจะไม่ลืมความสูญเสียทุกครั้งที่สร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์และประเทศชาติ ความโศกเศร้า ผิดหวังในปีเก่า ล้วนก่อกำเนิดพลังที่จะต่อสู้ในปีใหม่

รวมถึงเป็นโอกาสอันดี ที่จะรำลึกถึงพระคุณของบุพการี, พ่อแม่, ญาติพี่น้อง, ครูบาอาจารย์, เพื่อนๆ ที่ดีต่อเรา ฯลฯ ผู้คนที่ช่วยเหลือเรา เมตตากรุณา และสอนสั่ง หล่อหลอมให้เรามายืนได้ถึงทุกวันนี้ รวมถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย

สำหรับผมเองคงต้องขอขอบคุณ INN News และพี่ที่ให้โอกาส มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ทั้งหมดนี้ ปีเก่า เปรียบเสมือนการสั่งสมประสบการณ์ ก่อเกิดบทเรียน ให้ผู้คนเรียนรู้ และเข้มแข็งมากขึ้น และพร้อมจะมองโลกในแง่ดี มุ่งมั่น เดินต่อไปในปีใหม่

ขอให้ทุกท่าน เดินทางโดยสวัสดิภาพ จากปีเก่าสู่ปีใหม่ ด้วยใจ กายที่แข็งแรงครับ

กลอนปีวัวใหม่ กับการฉลองชัย๒๕๕๒

สวัสดี ปีใหม่มา อีกคราหนึ่งระลึกถึง ซึ่งปีเก่า เราผ่านพ้น

แม้ลำบาก หมั่นพากเพียร มุ่งอดทนนี่แหละคน ต้องเข้มแข็ง แรงใจมี

ก่อเกิดผล วีรชน คนสร้างชาติให้ก้าวหน้า หาอืดอาด อยู่กับที่

พรประเสริฐ ไม่เลิศสู้ คุณความดีจิตใจนี้ ยิ่งใหญ่กว่า หาอื่นใด

คิดอ่านดี ทำความดี ให้เสมอแลไม่เผลอ มัวประมาท ขาดสงสัย

ตรึกตรองการ งานทั้งผอง มองการณ์ไกลศาสน์ กษัตริย์ รัฐอยู่ได้ เพราะชนพลี

อุปสรรค ทั้งหลาย ที่กรายกล้ำคร้ามเจ็บปวด ชอกช้ำ อย่าถอยหนี

เป็นบทเรียน ปีวัวใหม่ สู้ชีวีมอบกลอนนี้ ให้พี่น้อง ฉลองชัย

…ณ ซอยอารีย์

กรณีแพทย์ปฏิเสธการรักษา

กรณีแพทย์ปฏิเสธการรักษา

ว่ากันว่าในสงครามทุกครั้ง ตั้งแต่อดีตกาล วิชาชีพแพทย์-พยาบาล เจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุข จะได้รับการยกเว้นจากสงคราม ห้ามยิง ห้ามทำร้าย เพราะวิชาชีพนี้ มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

ในบทบัญญัติบังคับในสนธิสัญญาเจนีวา สัญญาเพื่อการปฏิบัติต่อเชลยศึก ก็กล่าวถึงเรื่องการรักษาไว้ด้วย ว่าต้องมีการรักษาเพื่อประโยชน์ศัตรูหรือเชลยศึก โดยไม่เลือกปฏิบัติ นี่เป็นหลักมนุษยธรรมสากล

photo_doc_patient_resized

ในทางการแพทย์ ไม่เพียงแต่เรื่องสงคราม แต่เรื่องอื่นๆ แพทย์ย่อมพึงปฏิบัติต่อผู้ป่วยทุกคนอย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นหนึ่งในหลักการจริยศาสตร์ทางการแพทย์ คือ ความยุติธรรม (Justice) และยังมีข้ออื่นๆอีก เช่น สิทธิผู้ป่วย(Automy), การทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย(Beneficence), การไม่ทำร้ายผู้ป่วย(Nonmaleficence) เป็นต้น

ใคร่ขอยกตัวอย่างครับ

ในต่างประเทศ จะมีแพทย์อาสาขององค์กรเพื่อการกุศล และองค์กรเอกชน หลายองค์กร ที่ทำหน้าที่เข้าไปรักษาในพื้นที่สงคราม หรือพื้นที่ทุรกันดาร โดยเฉพาะถ้าพูดถึงองค์กรของสหประชาชาติ ทั้งส่วน WHO หรือ UNICEF ที่ช่วยเหลือเด็ก-เยาวชน ที่ได้รับภัยจากความยากจน ส่วนหนึ่งเป็นความพ่ายแพ้หลังสงคราม ไม่มีการเลือกปฏิบัติเชื้อชาติ วรรณะ ศาสนา แม้ว่าจะเป็นประเทศศัตรูก็ตาม

ในประเทศไทยของเรานั้น แพทย์อาสาฯ ช่วยเหลือผู้คน ก็มีมาก ข้าพเจ้าเคยเขียนเรื่องนี้ ในบทความ “ความสูญเสียของแผ่นดิน” กรณีแพทย์อาสา (พอ.สว.) และในภัยพิบัติต่างๆเราจะเห็นแพทย์อาสาสมัครช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่นในตอนสึนามิ แพทย์จำนวนมากลงพื้นที่ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือในภัยน้ำท่วมต่างๆนั้น จะมีผู้ปิดทองหลังพระเหล่านี้ คอยทำเพื่อผู้ยากไร้ ผู้ได้รับความลำบาก โดยไม่เลือกปฏิบัติ

ใน กรณีที่เป็นสงครามของไทยเรา คงนึกถึง เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ จะเห็นได้ว่า แพทย์ก็ทำการทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ ประชาชน รวมถึงผู้ก่อการร้ายด้วย และจะสังเกตว่าผู้ก่อการร้ายก็มักจะไม่โจมตี วางระเบิดโรงพยาบาล

•••

มากล่าวถึงกรณีที่เป็นข่าวกัน ความว่า แพทย์หลายท่าน ปฏิเสธการรักษาตำรวจ หลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ใช้เหตุผลว่า เพราะตำรวจไม่ปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ราษฎร กลับทำร้าย เข่นฆ่าประชาชน

มีผู้ขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ต้องชี้แจงก่อนว่า ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ใน 2 ฐานะ คือ 1.ฐานะนักศึกษาแพทย์ 2.ฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง

การแสดงความคิดเห็นอย่างไร ก็ย่อมถูกวิจารณ์ และต่อว่า จากผู้ไม่ประสงค์ดี หรือผู้อยู่ฝั่งตรงกันข้าม แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำวิจารณ์ใด ข้าพเจ้าขอขอบคุณมาก น้อมรับคำวิจารณ์เพื่อเป็นประโยชน์นะครับ

ความคิดเห็นครั้งนี้ ขอเรียนว่าเป็นการเลือกข้าง ข้างของความถูกต้อง ข้างของธรรม ที่เมื่อทำให้ใจเป็นกลางแล้ว

ข้าพเจ้าเห็นว่า วิชาชีพแพทย์ ไม่ควรถูกนำไปเชื่อมโยงกับทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเลยเลย การแสดงออกทางสิทธิ เสรีภาพทางการเมือง เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่เมื่อเกิดข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น เกิดการแถลงข่าว สื่อสารมวลชนติดตาม ก็เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา

ข้าพเจ้าเห็นอาจารย์แพทย์ สถาบันต่างๆ ผู้ปฏิเสธการรักษา อาจารย์แพทย์เหล่านี้ ถูกสังคมบางส่วน ต่อว่า และคลาบแคลงใจในความเป็นแพทย์ ผู้ดำเนินรายการทางวิทยุบางท่าน (ที่เป็นหม่อม) ก็โจมตี กล่าวหา ต่างๆนานา บ้างร้องเรียนแพทยสภาให้มาตรวจสอบ

อาจารย์แพทย์บางท่าน ได้ชี้แจงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ว่า เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เหมือนเวลาพ่อแม่ขู่ลูกว่า “เดี๋ยวตีให้ตายเลย” แต่ก็ไม่เคยตีลูกให้ตายสักครั้ง ในกรณีนี้ก็เช่นกัน เป็นการย้ำเตือนตำรวจ ว่าอย่าทำร้ายประชาชน เป็นการย้ำเตือนไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา

ถ้าถามข้าพเจ้าว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมาะสมไหม ก็คงมีคำตอบครับ

หลายคนถามว่า แพทย์สามารถปฏิเสธการรักษาได้หรือไม่

คำตอบคือ “ไม่ได้ครับ”

แม้ว่าจะเป็นฆาตกร ผู้ร้าย ขนาดไหน หรือเป็นเรื่องทางการเมือง จะปฏิเสธการรักษาคุณทักษิณ คุณพจมาน ชินวัตร หรือ บุคคลที่มีความคิดทางการเมืองตรงกันข้าม ก็ไม่ได้

อ่านประโยคข้างบนให้ดีนะครับ… พระราชบิดา หรือวงการแพทย์สากล ระบุไว้ชัดว่า การแพทย์ต้องเป็นการทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย

แต่… ถ้าหากแพทย์ผู้รักษาไม่พร้อมจริงๆ

แพทย์ สามารถ “เลือกที่จะส่งต่อไปยังแพทย์ท่านอื่น เพื่อการรักษาที่เหมาะสมกว่า” ได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ทางแพทยสภาได้แถลงไว้ รวมถึง กล่าวว่า หากผู้ป่วยไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงถึงแก่ชีวิต หากแพทย์ท่านที่รับไว้รักษาตอนแรกไม่พร้อม ก็เลือกที่จะส่งต่อให้แพทย์ท่านอื่นรักษาได้

ดังนั้น ในกรณีข่าวที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามองผิวเผิน แพทย์ ถูกต่อว่าเป็นอย่างมาก ถูกสอบถามหาว่าจรรยาบรรณแพทย์อยู่ที่ไหน แต่ความจริงแพทย์ ข้าพเจ้าเชื่อว่า มีเหตุผลเพียงพอ และเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ

ถ้าเป็นแพทย์ ผู้ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตำรวจเข่นฆ่าประชาชน ทำร้ายประชาชนคนธรรมดา ทำร้ายคนไม่มีทางสู้ จนบาดเจ็บ ล้มตาย ในจิตใจของแพทย์ท่านนั้นแม้ทำใจเป็นกลาง ก็อาจทำใจรับได้ลำบาก อาจมีภาวะบกพร่อง ไม่พร้อมทางจิตใจ มีความเสียใจ กลัดกลุ่ม อาลัย โศกเศร้า กับ สิ่งที่ตำรวจทำ คือนอกจากคุณตำรวจจะไม่ปฏิบัติหน้าที่รักษาประชาชนแล้ว กลับรับใช้ภาคการเมือง ทำร้ายประชาชน! ทำร้ายลูกของใครบางคน-ภรรยาสามีของของใครบางคน-พ่อแม่ของใครบางคน ยิงแพทย์ที่วิ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย ยิงทหารกาชาด ผิดหลักมนุษยธรรมสากลอย่างยิ่ง และที่สำคัญ ทำร้ายประชาชน พสกนิกร ลูกของแผ่นดิน

แพทย์ที่ไม่สามารถทำใจได้ อาจทำให้การรักษาคุณตำรวจอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ

ท่านผู้อ่านลองคิดนะครับ ว่าถ้าผู้ตาย ผู้บาดเจ็บเป็นญาติสนิท มิตรสหายเราดู ถ้าท่านเป็นแพทย์ท่านจะรักษาฆาตกรที่ฆ่าลูก ฆ่าพ่อคุณ รวมถึงทำร้ายเพื่อนแพทย์คุณด้วย คุณจะรักษาเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

อย่าลืมว่าแพทย์ก็เป็นคน มีความเสียใจ สลด โศกเศร้าได้ ซึ่งความเสียใจนี้ ส่งผลต่อการรักษาครับ

ข้าพเจ้าจึงเห็นควรว่า เรื่องนี้ ทางที่ถูก ก็คือว่า หากแพทย์ที่รับผู้ป่วยไว้รักษา ไม่พร้อมทางจิตใจ การปฏิบัตินั้น คือไม่ใช่ปฏิเสธการรักษา แต่ทว่า เป็นการเลือกที่จะส่งต่อไปให้แพทย์ท่านอื่นที่พร้อมรักษาจะดีกว่า

และที่สำคัญ ก็ล้วนเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเอง

ดังนั้น ก็เหมือนเวลาที่คุณหมอป่วยเองนั่นแหละครับ แล้วจะให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร (ในกรณีนี้เป็นการป่วยทางใจ)

551000012863101

551000012863102

551000013262902

551000013262903

551000013262905

นอกจากนี้ ในกรุงเทพฯ ยังมีแพทย์ที่พร้อมรักษาคุณตำรวจอยู่อีกนะครับ คุณตำรวจที่บาดเจ็บจากการไปไล่ทุบตี ยิง ประชาชน สามารถเลือกได้!

แต่ในกรณีว่า ถ้าผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัสมาจริงๆ แพทย์ก็ต้องรักษาครับ

ในขณะ ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ใช่แพทย์ เห็นฆาตกร ก็สามารถเลือกที่จะไม่สนใจใยดีได้ โดยไม่ถูกสังคมต่อว่าขนาดนี้ ในหลายๆครั้งที่ฆาตรกรถูกประชาชนประชาทัณฑ์

ในวงการแพทย์เราไม่สามารถทำร้ายใครได้ครับ และไม่สามารถลงทัณฑ์ใครได้ด้วย แพทย์ต้องคงยัดมั่นในจริยธรรมแห่งวิชาชีพ เพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรี และเพื่อ “ประชาชน” ไม่ใช่แค่เพื่อตำรวจ

ก็ตรงกันกับ บทบัญญัติบังคับในสนธิสัญญาเจนีวา สัญญาเพื่อการปฏิบัติต่อเชลยศึก ที่กล่าวถึงเรื่องการรักษาไว้ การรักษาเพื่อประโยชน์ศัตรูหรือเชลยศึก โดยไม่เลือกปฏิบัตินั้น ไม่ได้ระบุไว้ว่าต้องเจาะจงแพทย์ผู้รักษา เพราะหากแพทย์คนแรกที่รับไว้ ไม่พร้อมรักษา ก็ส่งต่อให้แพทย์ผู้อื่นที่พร้อมจะดีกว่า

และถูกต้องตามจริยศาสตร์ทางการแพทย์ ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยที่มารักษา

ถ้าเป็นข้าพเจ้าเอง ด้วยความเศร้าสลด ไม่พร้อมที่จะให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่คุณตำรวจ แม้จะเป็นผู้ป่วยคนอื่นๆก็ตาม ก็คงรบกวนอาจารย์แพทย์ท่านอื่นดูแลแทน นี่ถือเป็นการทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย ครับ

ดังนั้น เรื่องจากข่าวครั้งนี้ จะ ถูกจะผิด ขึ้นอยู่กับเจตนาของแพทย์ในข่าว หากแพทย์ผู้แถลงการณ์ ทำด้วยจิตใจอคติต่อตำรวจ คิดร้าย ประทุษร้าย ย่อมไม่เหมาะไม่ควร

แต่หากทำด้วยจิตใจมุ่งหวังดีเพื่อประโยชน์ของตำรวจที่บาดเจ็บ ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว ลดความเสี่ยงในการรักษาที่ไม่เต็มศักยภาพ

รวมถึงเป็นการมุ่งหวังตักเตือนคุณตำรวจ ที่ทำร้ายประชาชน ให้เข้าใจถึงหน้าที่ของตน

นี่คือการที่แพทย์ไม่ใช่แค่เพียงรักษาผู้บาดเจ็บเท่านั้น ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์รักษา แต่เป็นคนที่ดี ที่มุ่งหวังตักเตือนสังคม ตักเตือนผู้ทำร้ายประชาชน ให้เลิกกระทำการชั่วร้าย ทำร้ายมนุษย์อย่างผิดหลักมนุษยธรรม

เป็นการรักษาสังคม ไปด้วยในตัว น่ายกย่อง สรรเสริญ…

“ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอเป็นเพียงหมอเท่านั้น แต่ฉันต้องการให้พวกเธอมีความเป็นมนุษย์ด้วย

พระราชดำรัส สมเด็จพระราชบิดา

วันนี้วันเกิดใคร

วันนี้วันเกิดใคร

Thaksin

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม นั่นหมายถึง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูงและต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

ด้วยวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์มีระดับสติปัญญาเหนือว่าสัตว์ชนิดอื่น ทุกวันนี้มนุษย์จึงครองโลก และยังถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ทรัพยากรของโลกมากที่สุดอีกด้วย แพร่พันธุ์ ขยายพันธุ์จนล้นโลก

ตอนนี้ประชากรโลก มีจำนวนประมาณ 6,680 ล้านคนเข้าไปแล้วครับ…

ลองนึกถึงสภาพสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่คืบคลาน ยั้วเยี้ย เต็มผืนโลก (พูดซะเห็นภาพสัตว์ประหลาด หรือหนอนแมลงเลยล่ะครับ)

ผมเคยคิดว่ามนุษย์คือภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับโลก และทุกวันนี้ อย่างน้อย เรื่องภัยพิบัติโลกร้อน(Global warming) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ความคิดนี้ เพราะโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์ทั้งนั้น และก็เป็นปัญหาที่พวกเราต้องช่วยกันแก้ไข

ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนย่อมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามธรรม

คนเรามักให้ความสำคัญกับอดีตจนลืมนึกถึงปัจจุบัน อาทิเช่น การนึกถึงความทรงจำฝังใจ เสียมากกว่าจะตั้งสติในการกระทำต่างๆสำหรับชีวิตประจำวัน บางเรื่องบางคนก็เก็บไว้ทุกข์เป็นสิบปียี่สิบปี ไม่ยอมลืม ทั้งที่การพ้นทุกข์อยู่ที่การปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดของเขาเท่านั้นเอง

วันนี้ ผมจึงมาเขียนถึงเรื่องที่คนให้ความสำคัญกับอดีตเรื่องหนึ่งเช่นกัน คือเรื่อง วันเกิดครับ

คนทุกคนมีวันเกิด และวันครบรอบเกิดได้แต่ละปี จะเรียกกันว่า วันคล้ายวันเกิด

ลองมาเฉลี่ยเท่าๆกันนะครับ จากจำนวนประชากรที่ได้เล่าไว้ ถ้าหากปีปีหนึ่งมี 365 วัน คิดว่า วันวันหนึ่งจะตรงกับวันคล้ายวันเกิดของคนเป็นเกือบยี่สิบล้านคนเลยทีเดียวครับ

มนุษย์เราชอบที่จะฉลองวันเกิดครับ…

•••

population-six-billion-1

วันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ ก็คงเป็นวันคล้ายวันเกิดของใครอีกหลายๆคน

เมื่อวานก่อน วันที่ 26 กรกฎาคม 2551 ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของใครหลายๆคน อย่างน้อย ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของ อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง…

วันคล้ายวันเกิด เป็นวันที่มนุษย์นึกเอาว่าเป็นวันสำคัญของแต่ละคน ในหลายคนที่คิดได้ ก็จะบอกว่า มันก็แค่วันวันหนึ่งเท่านั้นเอง คนดีดีหลายคนใช้วันนี้ในการเตือนตนเองถึงชีวิตที่เหลืออยู่ เตือนถึงการทำดี ถึงบุญคุณของบุพการีผู้ให้กำเนิด หาใช่ไปเที่ยวเล่น มอมเมา มัวเมาสุรา เหมือนวัยรุ่นในสมัยนี้หลายคน กับสังคมที่เสื่อมลง

กลับมากล่าวถึง วันคล้ายวันเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น มีคนร่วมอวยพรทั้งบ้านทั้งเมือง บริวารลิ่วล้อเข้าพบเพื่อคารวะกราบกราน(เงินทองของ)ท่านท่านนั้น

สำหรับฝ่ายตรงกันข้ามก็อวยพรให้ท่านเช่นกัน…

บ้างอวยพรให้มีความสุขเท่าที่ได้ทำดีมา

บ้างอวยพรให้กฎแห่งกรรม แสดงผลเร็วขึ้น

บ้างอวยพรให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ…

แม้แต่บนเวทีการชุมนุม… แกนนำกล่าวอวยพรวันเกิดให้ ทีละคน ทีละคน รวมทั้งมากล่าวถึงความสัมพันธ์ วันวานที่หวานชื่น พร้อมขอให้ได้ไปใช้ชีวิตบั้นปลายในสถานที่รื่นรมย์ นามว่า คุก

ก็ยังเรียกได้ว่ามีคนอวยพรกันทั้งบ้านทั้งเมืองจริงๆ

•••

วันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ ก็เป็น วันเกิดน้องชายผมเองครับ เป็นชายหนุ่มอายุ 17 ปีเสียแล้ว

ธรรมเนียมประจำครอบครัว ที่มีขึ้นทุกวันเกิด ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดใครก็ตามในบ้าน คือการมาประชุม เพื่อกล่าวความในใจที่มีต่อกัน

บ้านนี้ไม่มีเค้กวันเกิด เพียงได้รับประทานอาหารร่วมกันบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการกล่าวอะไรด้วยกันในวันเกิดนี่เอง

ในภายหลัง เมื่อลูกๆทุกคนโตขึ้น และกระจัดกระจายอยู่กันคนละที่ แม้ไม่ได้พบหน้ากัน ก็ใช้วิธีโทรศัพท์ประชุมกันข้ามจังหวัด ข้ามประเทศกันเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งถือเป็นการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

“เนื่องในโอกาสวันเกิดของเกน ขอให้เกนตั้งมั่นในความไม่ประมาท และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น” ส่วนหนึ่งของคำพูดผมผ่านโทรศัพท์

“ขอให้เกนตั้งใจ เพราะอยู่ มอหกแล้ว และมีจุดมุ่งหมายที่จะต้องก้าวหน้าต่อไป” กลางพูด

“สิบเจ็ดปีของชีวิต เกนเป็นความภาคภูมิใจของแม่ รวมถึงตัวลูกๆทุกคน คอยทำให้ชีวิตของแม่มีความสุขเสมอ” คุณแม่กล่าว

“ขอให้ขยันหมั่นเพียร เอาชนะใจตนเอง หมั่นฝึกฝนฝึกปรือ” คุณพ่อกล่าว

เกนดีใจมาก ที่บ้านเรา ทุกวันเกิด จะมีการพูดคุยกันเช่นนี้ เป็นการแสดงความรักที่ดี… น้องชายคนสุดท้อง เจ้าของวันเกิดกล่าวปิดท้าย

ต่อไป ไม่ว่าวันเกิดใคร แม้ว่าจะนั่งอยู่ในส้วมก็ตาม สงสัยคงต้องโทรคุยกัน อย่างนี้ตลอดไปแน่ๆ ผมเสริม ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนมาทางโทรศัพท์

•••

มีวันเกิด ก็ย่อมมีวันดับ ทุกคนล้วนไม่พ้นความตาย หากแต่ว่าในช่วงที่มีชีวิตอยู่ได้ทำอะไรไว้บ้าง

ชีวิตหนึ่งกว่าจะได้เกิดมานั้นยากเย็น จะเพียงแค่สูบอากาศหายใจไปวันวันก็ใช่ที่

วันนี้ ผู้อ่านคิดหรือยังครับ ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ทำอะไร อยู่ไปทำไม? เตือนตนเองถึงภารกิจในชีวิตนี้

อย่างน้อย อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยการทำเลว จนคนสาปแช่งไปทั่วปฐพี และจะถูกตัดสินจำคุกในเร็วๆนี้ละกันครับ

ความรักของข้าพเจ้า

ความรักของข้าพเจ้า

เวลาพูดถึงอาชีพหมอแล้ว คนมักมองกันว่า พวกหมอเป็นกลุ่มคนที่เคร่งเครียด จริงจังกับชีวิต ใส่แว่น อ่านหนังสือมาก เรียนหนัก วันๆไม่มีเวลาว่างทำอะไรสักเท่าไร

ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาแพทย์ ผู้ซึ่งต่อไปจะจบเป็นหมอ แม้คนจะว่ากันว่าข้าพเจ้าเป็นคนจริงจังกับชีวิตมากไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เหมือนกับที่เขาว่ากันสักเท่าไร

ตัวข้าพเจ้าทำกิจกรรมหลายอย่าง และเป็นนักกิจกรรมมากมายกว่าการเรียนเสียอีก แต่ก็ไม่ทำให้การเรียนเสียมากมายนะครับ รวมถึงมีเรื่องผ่อนคลาย และยังเล่นเกมคอมพิวเตอร์เยอะอีกต่างหาก

วันนี้จึงจะมาเขียนเรื่องอื่นที่ดูไม่เครียด วิชาการ หรือการเมืองเกินไป

วันนี้ไม่ได้มาเขียนเกี่ยวกับเรื่องกิจกรรม ความสามารถพิเศษของตนเองหรอกครับ แต่จะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกนี้

เรื่อง ความรัก” นั่นเองครับ

และในฐานะที่เกี่ยวกับประสบการณ์ตรง จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องว่า ความรักของข้าพเจ้า” นั่นเองครับ และเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเห็นหมอจะพูดกันเท่าไร ที่เห็นหมอพูดอยู่มากตามรายการทีวี มักเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์กันเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่ความรักเสียทั้งหมด)

I-love-you-much-Abstract-01

ข้าพเจ้าเอง เคยมีแฟนหลายคน ต่างกรรมต่างวาระ บ้างชอบพอกันไม่กี่เดือน บ้างชอบกันเป็นปี บ้างเป็นหลายปี แต่สุดท้าย ความสัมพันธ์มักสิ้นสุดลง เพราะถูกทิ้ง และกว่าครึ่งหนึ่งคงเป็นเพราะว่าห่างไกลกัน

ก็คงอย่างที่เขาว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด” กระมังครับ

พอมาเรียนหมอนี้นั้น ตอนแรกก็ไม่ค่อยได้คิดเกี่ยวกับเรื่องความรักนี่สักเท่าไร (จริงๆแล้ว ตั้งแต่วัยละอ่อนมานั้น ก็ไม่เคยคิดหรอก มักจะมีแฟนโดยไม่ได้ตั้งใจ)

เห็นบรรดาอาจารย์หมอ หรือคุณหมอรุ่นใหญ่ทั้งหลาย มักจะมีแฟนเป็นหมอด้วยกัน หรือมีแฟนเป็นพยาบาล ส่วนตัวก็เลยคิดว่า ไว้เรียนจบค่อยว่ากันถึงอนาคตด้านความรัก ตอนนี้ความเรียนและการงานต้องมาก่อน

เขาว่ากันว่า ความรักเปรียบเสมือนผีเสื้อ” ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งหาไม่เจอ แต่หากอยู่เฉยๆ แล้ว วันหนึ่งผีเสื้อก็จะเข้ามาเกาะเราเอง ก็เลยเพราะความไม่ตั้งใจนั้นแหละ ก็ได้ประสบพบอีก มีแฟนอีกคนหนึ่ง

น่าสงสารบรรดาเหยื่อผู้หลงผิดมาหาข้าพเจ้าจริงๆ (ฮา)

แต่สุดท้าย ครั้งล่าสุด คบกันเป็นปีๆ แต่ข้าพเจ้าก็ถูกทิ้งเช่นกันครับ

ข้าพเจ้าเศร้าไปเป็นครึ่งปี ช่วงแรกๆทรมานเหมือนตายทั้งเป็น เหมือนคู่ชีวิตเสียชีวิตไป ถึงขนาดนั้น

คุณแม่กลัวจะฆ่าตัวตายก็มาเยี่ยม พาอาจารย์นักจิตวิทยามาพูดคุย กลายเป็นภารกิจของทั้งครอบครัว และผู้ใกล้ชิด วุ่นวายกันข้ามประเทศ ต้องเดินทางกันมาจากทั่วสารทิศ ช่วยเหลือนายชเนษฎ์ ด้วยความรักนั่นเอง

คุณอาช่วยเหลือ อาจารย์ช่วยเหลือ น้องช่วยเหลือ เพื่อนสนิท เพื่อนแท้ ช่วยเหลือ ฯลฯ

หลังจากครึ่งปีที่เกือบจะเป็นบ้าไป สักพัก ข้าพเจ้าก็ตั้งสติได้

หันมามองตนเอง จึงรู้จักคำๆนี้มากขึ้น คำว่า ความรัก”

ไม่กี่วันมานี้ เผอิญได้ไปเข้าค่ายจริยธรรมที่เมืองกาญจนบุรี ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น คิดอะไรมากขึ้น ก็ได้ค้นพบว่า

ข้าพเจ้ามีความรัก

ถ้าเรื่องผู้หญิงแล้วละก็ ข้าพเจ้ายังรักใครบางคนอยู่มากครับ แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้เป็นแฟนกัน

แต่ในจิตใจลึกๆแล้วก็พบว่า มันเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยมีให้กับใคร แม้จะเลิกกันจะเป็นปีแล้ว ลึกๆก็ยังฝันถึงอยู่ คิดถึง

รำลึกถึงความงดงาม ความดี ที่มิใช่ความหลงเพียงรูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นการศึกษาเรียนรู้ เข้าใจกัน มีความคิด และการกระทำอันดี มีคุณค่าและประโยชน์ต่อสังคม

โอ นี่หรือคือ ความรัก

ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก

สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน

ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป

แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

(ขอกราบขอยืมท่านสุนทรภู่ มาจากนิราศภูเขาทอง ครับ)

ในกรณีที่ยกตัวอย่างมานี้ แม้จะเป็นรักข้างเดียว ที่ไม่มีวันบรรจบ หากแต่ความงามมิใช่วัดกันด้วยการบรรจบ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรามองเองต่างหากนะครับ

เพราะจริงๆแล้ว ตอนนี้ ความรักของข้าพเจ้าก็ยังงดงามอยู่ครับ

ข้าพเจ้ายังมีความรักที่สมหวัง

ความรักที่สมหวัง สำหรับข้าพเจ้า ก็คือ ครอบครัวของข้าพเจ้าที่อบอุ่น คุณพ่อคุณแม่ คุณย่า น้องๆ และญาติพี่น้อง ที่รัก เข้าใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ

ความรักเอย คำที่ใช้กันพร่ำเพร่อบนโลกใบนี้

ในขณะที่คู่รัก หรือสามีภรรยา กลับเลิกกันไม่เว้นแต่ละวัน ครอบครัวแตกแยก ลูกขาดพ่อแม่ ขาดความอบอุ่น

ขณะที่วัยรุ่น นักศึกษาหลายคน คิดสั้นเพราะอกหัก บ้างกระโดดตึก บ้างยิงกัน บ้างทำร้ายกัน ทำร้ายตนเองจนลืมไปว่าทำให้คนที่รักเราจริงๆเสียใจ

ท่ามกลางความรักที่สิ้นคิดทั้งหลายนั้น หากหันกลับมามอง ยังมีความรักที่อยู่เหนือกว่านั้นอีกมากมาย ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

ความรักของคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง ความรักของเพื่อนแท้ ที่อยู่กับเรายามยาก ยามทุกข์

เห็นไหมล่ะครับว่า ผีเสื้อได้มาเกาะที่ตัวเราอยู่มากมาย แต่เรามัวแต่หลงไหลในผีเสื้อตัวเดียว พยายามวิ่งไขว่คว้า จนลืมไปว่ามีคนอีกหลายๆคนที่รักเรา

ข้าพเจ้าซาบซึ้ง และขอขอบคุณทุกชีวิต ที่เคยเกื้อกูลข้าพเจ้ามาบนโลกใบนี้ นี่คือความรักที่หลายคนเคยมอบให้เราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

สำหรับการเรียนที่เห็นได้ชัด คือ อาจารย์ผู้สอนที่เมตตากรุณาสอนสั่ง

สำหรับการทำงาน คือผู้ร่วมงานที่ดี ที่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ต่อกัน

สำหรับการสังคม คือผู้คนที่ดีกับเรา เป็นต้น

หากได้อ่านบทความนี้แล้ว สำหรับหลายๆคนที่ทุกข์ใจกับเรื่องความรัก ลองเปลี่ยนวิธีคิดดูนะครับ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีคนที่รักเราอยู่มาก ที่เราลืมมองไป

และจึงเข้ากับคำที่เขาว่า “จงรักคนที่เขารักเรา” รักครอบครัว รักพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนฝูง

ชีวิตก็เป็นสุขมากแล้วล่ะครับ ชีวิตหนึ่งที่มีความรัก

ทิ้งท้าย สิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยนิดเดียวเท่านั้น คือ ข้าพเจ้าแปลกใจมากกับผลการวิจัยที่เคยได้ยินมาว่า

กันง่ายๆว่า ผู้หญิงมีให้เลือกมากกว่าผู้ชาย ถึง แปดเท่า ผู้ชายน่าจะมีสิทธิ์และโอกาสมากกว่า

แต่ทำไม ข้าพเจ้าถึงยังอกหัก ถูกทิ้งโดยตลอดครับนี่ ฮ่า

ปล. อ่อ จริงๆแล้ว เดี๋ยวนี้นักศึกษาแพทย์มักเป็นเพศทางเลือกกันมากขึ้น แต่ในบทความนี้ อดีตแฟนของข้าพเจ้าก็ยังเป็นผู้หญิงนะครับ ฮา