• About (Eng)
  • Introduction to Bloggla.com
  • Multimedia
  • ชเนษฎ์ ศรีสุโข เว็บไซต์ส่วนตัว หมอ ต้นกล้า Chanesd Srisukho
  • รู้จักคุณหมอชเนษฎ์
    • Education & Work
    • การศึกษาและงาน
    • เกียรติประวัติและกิจกรรม

MD. Dr. Chanesd Srisukho นายแพทย์ ชเนษฎ์ ศรีสุโข หมอกล้า Dermatology

ประวัติ นายแพทย์ ชเนษฎ์ ศรีสุโข

วิชาการ

วิพากษ์ความหลายเหลี่ยมแห่งจิต

June 3, 2009 by Gla 5 Comments

บทความนี้เขียนก่อนเหตุการณ์สงกรานต์เลือด แต่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Demo-Crazy ฉบับ พฤษภาคม 2552

วิพากษ์ความหลายเหลี่ยมแห่งจิต

ชเนษฎ์ ศรีสุโข นักศึกษาแพทย์ปี5 โรงพยาบาลราชวิถี chanesd@gmail.com

บก.ให้การบ้านซึ่งยังเกี่ยวเนื่องกับเรื่องจิตๆ…

ขอย้อนความไปตั้งแต่การประชุมสภา ไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เราก็คงเห็นความหลากหลายทางสภาพจิต ของ บรรดาท่านผู้มีเกียรติในสภา ไม่ว่าจะชูให้นิ้วกลางกัน พูดจาหยาบคาย พูดจาโอ้อวด ปั้นเรื่อง หลายคนพยายามหาเสียงระหว่างอภิปราย อยากเด่น อยากดัง พยายามโฆษณา ประชาสัมพันธ์ตนเอง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นรายการถ่ายทอดสดให้ชมได้ทั่วประเทศผู้ชมหลายคนจึงได้สนุกสนานกับการเห็นคนเหล่านี้แสดงบทบาทในสภา บทบาทที่ไม่เหมือนคน…

[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]

Posted in: ข่าว, บทความ, วิชาการ, สถานการณ์บ้านเมือง Tagged: การเมือง, จิตวิทยา, จิตเวช, ชินวัตร, ทักษิณ, นักการเมือง, นักศึกษาแพทย์, ผู้ป่วย, วิพากษ์, หมอ, แพทย์, โรค, โรคจิต

นักศึกษาแพทย์ กับจิตเวช

May 19, 2009 by Gla 5 Comments

นักศึกษาแพทย์ กับจิตเวช

ชเนษฎ์ ศรีสุโข ปี5 ณ ราชวิถี [chanesd@gmail.com]

ผมได้ผ่านแผนกจิตเวชศาสตร์ในระดับชั้นปี5 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับความรู้ทางวิชาการ และมุมมองทางสังคมหลายประการผ่านการถ่ายทอดของคณาจารย์จิตแพทย์ นักจิตวิทยา และที่สำคัญ คือเรียนรู้จากอาจารย์ผู้ป่วย(หมายถึง คนไข้จริงๆ)ที่มาหาพวกเราที่โรงพยาบาลราชวิถีนั่นเอง

นอกจากศึกษาในโรงพยาบาลราชวิถีแล้ว ยังได้ไปศึกษาดูงานยังสถาบันต่างๆ ทั้งสถาบันราชานุกูล(บริการผู้บกพร่องทางสติปัญญา www.rajanukul.com) สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ (www.icamtalk.com) และสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ (www.galyainstitute.com)ล้วนสังกัด กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]

Posted in: บทความ, วิชาการ Tagged: จิตวิทยา, จิตเวช, นักศึกษาแพทย์, ผู้ป่วย, หมอ, เข้าใจ, เห็นใจ, แพทย์, โรค, โรคจิต

วันที่ผมป่วย(อีกครั้ง)

April 20, 2009 by Gla 6 Comments

 

วันที่ผมป่วย (อีกครั้ง) หูดับ

วันที่ผมป่วย (อีกครั้ง) หูดับ

 ชเนษฎ์ ศรีสุโข [chanesd@gmail.com] นักศึกษาแพทย์ ปี5 ม.รังสิต–โรงพยาบาลราชวิถี

ไม่นานมานี้ ผมป่วย นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล สถานที่แห่งเดียวกันกับที่เรียนหนังสืออยู่

ป่วยครั้งนี้ เป็นเกี่ยวกับเรื่อง “หู”

ไม่ใช่ว่าเป็นคนหูเบา แต่อย่างไร

ครั้งนี้เป็นโรค “หูดับ”

วันที่ผมป่วย (อีกครั้ง) หูดับ

[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]
Posted in: ยอดนิยม, วิชาการ, ส่วนตัว Tagged: sensorineural hearing loss, ทำไงดี, ประสาทหู, ป่วย, หมอป่วย, หู, หูดับ, หูเสื่อม, โทรศัพท์

นักการเมืองโรคจิต(3)

November 10, 2008 by Gla 3 Comments

นักการเมืองโรคจิต(3)

หมายเหตุ เขียนไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 จะได้ลง Demo-Crazy.com เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551

SL707332 copy

                ตอนสุดท้ายแล้วนะครับ สำหรับมหากาฬไตรภาค ฉบับ “นักการเมืองโรคจิต”

                มีเพื่อนสนิทนักศึกษาไทยในอเมริกาบอกผมว่า เวลาพูดถึงเรื่องการเมือง แล้วไม่พูดถึงคุณทักษิณ ก็เปรียบเสมือนไม่ได้พูดเรื่องการเมือง

                แสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยไปมากในช่วงไม่กี่สิบปี สร้างระบอบทักษิณหยั่งรากลึกลงไปถึงระดับรากหญ้า ทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเมืองไทยไปแล้ว แม้ว่าในสายตาประชาชน พันธมิตรฯ จะมองทักษิณเป็นมารร้าย หัวหน้าตัวจริงรัฐบาลสัตว์นรก เทวทัต ฯลฯ ก็ตาม

ตัวผู้เขียนเองเรียนหมอ วิชาชีพทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวอาจรักษาผู้ป่วยทางกายได้ หากแต่การพัฒนาประเทศชาติ การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยนั้น ต้องใช้การรักษาทางจิตใจ ธรรมะ  คุณธรรม จริยธรรม ยกระดับสติปัญญา การศึกษา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทั่วไป ตื่นตัว รับทราบในความเป็นไปทางการเมือง และทำความเข้าใจว่าประชาชนมีพลัง มีอำนาจ สามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ อย่างกรณีพันธมิตรที่เราเห็นนี้นั่นเอง ผู้คนที่ไม่ยอมทนปล่อยให้ความชั่วร้าย ต่ำช้า มาย่ำยีสถาบัน ปกครองประเทศ
[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]

Posted in: บทความ, วิชาการ, สถานการณ์บ้านเมือง Tagged: การเมืองไทย, คำศัพท์, จิตเภท, จิตเวช, ทักษิณ, นักการเมือง, ประสาท, สมัคร, เพี้ยน, โรคจิต, ไม่เต็ม

นักการเมืองโรคจิต(2)

August 2, 2008 by Gla 5 Comments
หมายเหตุ บทความนักการเมืองโรคจิต ตั้งแต่ตอนแรก ได้เริ่มตีพิมพ์ ในวารสารประชาธิปไตย Demo-craZy.com ตั้งแต่ กรกฎาคม 2551

นักการเมืองโรคจิต(2)

BLOGGLA.COM

มาต่อกันเกี่ยวกับเรื่องจิตๆ

picweb_copy135

ตอนที่แล้ว ผมเขียนบทความ “นักการเมืองโรคจิต” ในทำนองล้อเลียนการเมืองเสียมาก

ที่เขียนไปนั้น คิดว่ายังคงความหมายเชิงวิชาการอยู่ มีการเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป

ก็ต้องขออธิบายท่านผู้อ่านเพิ่มเติม ว่าจริงๆแล้ว พวกนักการเมือง จะเป็นพวกที่มีคุณสมบัติพิเศษ นั่นคือ เป็นดารา บางทีอาจไม่ได้เป็นโรคจิต แต่เสแสร้งให้เหมือนได้ จึงวินิจฉัยแยกโรคได้ยาก (Differential diagnosis) คนจำพวกนี้จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า Conflict of interest คนไทยมักแปลคำนี้ที่มีต้นกำเนิดมาจากทางจิตเวชไม่ถูกเท่าไรนัก มักแปลเป็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ไปแทน ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ซะทีเดียว

ยกตัวอย่าง รัฐบาลไม่ช่วยเหลือเหลือชาวบ้านด้านเศรษฐกิจเลย ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน มัวแต่ชิมไปบ่นไป ใช้ปากบริหารประเทศ อย่างนี้ก็เรียกว่า Conflict of interest กล่าวคือ ไม่ยอมทำงาน แต่มัวไปหมกมุ่น พยายามทุจริต ขายแผ่นดิน เพื่อผลประโยชน์ตนเอง, นายใหญ่ และพวกพ้อง

มีปรมาจารย์เก่าแก่ด้านจิตเวช ของพระมงกุฎฯ ได้เมตตาให้ตำราจิตเวชวิเคราะห์ วินิจฉัยโรคจิตในนักการเมืองซึ่งผมไม่ขอวินิจฉัยว่า นักการเมืองคนไหนที่เป็นโรคจิตบ้าง เดี๋ยวจะกลายเป็นแบบ ท่านอาจารย์ พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ ที่กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาครั้งก่อน วินิจฉัยโรคนักการเมืองท่านหนึ่ง ความจริง จิตแพทย์มองแล้วรู้ดีว่า นักการเมืองท่านนั้นน่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับด้านความเครียด การวิตกกังวล เหมือนดังคนโบราณว่า หน้าดำคร่ำเครียด เป็นเรื่องจริง และดูการพยากรณ์โรค (Prognosis) คิดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่ได้รับการรักษา (แต่จิตแพทย์สามารถช่วยรักษาบรรเทาอาการได้ น่าเสียดายจริง… จรรยาบรรณแพทย์ ห้ามเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ไม่แน่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งได้อีกนานเท่าไร เขียนถึงตอนนี้ คงมีผู้อ่านตะโกนว่า “ออกไป”, “เข้าคุก”)

พูดถึงนักการเมืองแล้ว ต้องนึกถึงคำนี้ ความเห็นแก่ตัว ซึ่งจัดเป็นโรคแล้วนะครับ [อ้างอิงจาก www.PubMed.gov ของกระทรวงสาธารณสุขอเมริกัน ] ท่านผู้อ่าน คงวินิจฉัยโรคได้แทนบรรดาจิตแพทย์ เพราะนักการเมืองหลายคนเห็นแก่ตัวกันมาก ทางปรัชญาเรียก อัตตนิยม คือ ทำทุกอย่างเพื่อตนเอง จึงอย่าแปลกใจถ้าฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ, พันธมิตรฯชุมนุมเล่าความจริงถึงความชั่วร้ายรัฐบาลเท่าไร ขายแผ่นดินเท่าไร แต่ ส.ส.ในสภาส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ยกมือเห็นชอบไว้วางใจรัฐบาลต่อไป

ในงานวิจัย พบว่า ความเห็นแก่ตัวนี้ (Selfishness) เป็นสิ่งที่สามารถสืบทอดกันมาทางพันธุกรรมด้วย ดังนั้น จึงได้ยินคำกล่าวอยู่เสมอว่า โกงทั้งโคตร(เหง้า) โกงทั้งตระกูล

เชื่อว่า ความเห็นแก่ตัว สืบทอดมาจากยีนส์เดียวกับการแสดงออกอีกประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า Altruism หมายถึง “การไถ่บาป” จะพบมากในนักการเมือง กล่าวคือ พวกที่ทำสิ่งชั่วร้ายมามาก ลึกๆในจิตใจอยากจะรู้สึกทำสิ่งดี สร้างภาพ ปกปิดความชั่ว หรือทดแทนส่วนลึกของจิตใจที่รู้สึกผิด (Defensive mechanism กลไกป้องกันจิตใจ) จึงแสดงออกในรูปแบบการทำบุญ เช่น พวกชอบบริจาคทาน หรืออย่างรัฐบาลที่ออกนโยบายลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดค่ารถเมล์ ต่างๆเหล่านี้ ก็จะเป็น Altruism เหมือนกัน เพราะว่าพฤติกรรมที่ผ่านมา ทำเรื่องเลวร้ายไม่พอใจประชาชนมามาก รวมถึงกรณีเสียแผ่นดิน ปราสาทพระวิหาร จึงพยายามมาสร้างภาพแสดงออกด้านดี

อันนี้ก็แล้วแต่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าให้อภัยกันได้หรือไม่ ทดแทนกันได้หรือไม่ แต่สำหรับทางจิตเวช ควรรีบไปบำบัด ช็อตไฟฟ้า รักษาให้หายบ้ากันเสียทีสำหรับผู้ที่แกล้งเป็นโรคจิต เหล่านี้

เขียนเรื่อง Defensive mechanism ไว้ ต้องขออธิบายเรื่องเกี่ยวเนื่องกันก่อนนะครับ คือเรื่องจิตสำนึก ทางจิตเวช แบ่งระดับของจิตใจเป็น 3 ระดับ คือ ระดับจิตสำนึก(Conscious), ระดับจิตใต้สำนึก(Subconscious) และ ระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) จะขออธิบายระดับไร้สำนึก คือระดับจิตใจที่อยู่ลึกที่สุด ปกติจะเราจะไม่รู้ว่าลึกๆแล้วเราคิดอะไรอยู่ ระดับนี้อาจแสดงออกมาในการกระทำที่เรียกว่ากมลสันดาน หรือในความฝันแทน เช่น ถูกรัฐประหารจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ จิตไร้สำนึกจะบันทึกข้อมูลไว้ และอาจแสดงออกคือฝันร้ายถึงเหตุการณ์วันนั้นตลอดเวลา จิตใจจะมีกลไกป้องกันจิตไร้สำนึกไม่ให้เสียหายมากไปกว่านี้ ไม่ให้เสียสติไป โดยการแสดงออกหลายแบบในระดับจิตสำนึก (คือขณะทำ รู้ตัวดี แม้จะไม่เข้าใจว่าทำเพราะอะไร) ดังจะยกตัวอย่างต่อไป

มีกลไกการป้องกันจิตใจอยู่มากมายครับ เช่น Denial คือ พวกปฏิเสธความจริง เช่น ไม่ยอมรับว่าทุจริตโกงกินไว้มากต้องชดใช้ความผิด ต้องถูกศาลตัดสินจำคุก แต่กลับปฏิเสธความจริง จะได้ไม่เครียด เอาถุงขนมสองล้านบาทไปให้เจ้าหน้าที่ศาล เดือดร้อนทนายความลูกน้องที่ต้องติดคุกแทนอีก แต่ก็สมควร เพราะทนายพวกนี้หวัง Conflict of interest ยังไงล่ะครับ (ถ้าลืมความหมาย กลับไปอ่านข้างบน)

Projection คือ การโยนความผิดให้ผู้อื่น อันนี้คงใช้อธิบายเรื่องนักการเมืองที่ชอบซุกหุ้น เครียดจัด ก็เลยโยนความเครียดไปให้ลูกเมียซุกหุ้นแทน หรือ การกระทำผิด ก็ต้องทำผ่านนอมินี รวมถึงเรื่องปราสาทพระวิหารด้วย ที่มีคนคอยรับผิดแทน

Rationalization คือ การอ้างเหตุผลข้างๆคูๆเข้าข้างตนเอง อยู่เสมอ เช่น อยากแก้รัฐธรรมนูญ อ้างเพื่อประโยชน์ของประชาชน จริงๆแล้วก็เพื่อหนีความผิด อีกหน่อย ผมอยากให้อาญชากรในคุกรวมตัวกันยื่นสักสองหมื่นรายชื่อ ขอแก้ไขกฎหมายอาญา ให้ตนเองไม่ต้องติดคุกดูบ้าง

Acting out อันนี้จะเห็นได้ชัดจากรายการโทรทัศน์ ที่มีนักการเมืองคนหนึ่งมานั่งพูดคนเดียว ด่ากราดสื่อไปทั่ว นั่นคือ เมื่อมีความเครียดในใจมาก ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร ก็แสดงออกมาตรงๆอย่างไร้การศึกษา หยาบคาย รุนแรง เลยครับ รวมถึงต้องขอพูดข้างเดียว กระทำฝ่ายเดียวด้วย กลัวคนตอบโต้

ยังมีกลไกการป้องกันจิตใจอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจ เรียกว่า Identification (การเลียนแบบ) ยกตัวอย่าง หากพ่อเป็นคน ทุจริตคอรัปชัน ลูกเห็นแล้วเกิดคลาบแคลงในใจ มีความเครียด สับสน ในระดับจิตไร้สำนึก จิตใจจะมีการป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียหาย โดยการแสดงออก คือ พอโตขึ้นก็เลียนแบบพ่อเสียเลย จะได้ไม่รู้สึกผิด พ่อทำไว้อย่างไร ตนเองก็ทำเช่นนั้น นี่ถือเป็น Defensive mechanism อีกแบบหนึ่ง จะช่วยอธิบายว่า ทำไม นักการเมืองหลายท่าน พ่อโกง ลูกต้องโกงด้วย หรือพ่อปลาไหล ลูกต้องปลาไหลด้วย หรือพ่อไม่มีจุดยืน ลูกไม่มีจุดยืนด้วย เขาเรียกลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น นั่นเองครับ

การเรียนรู้จิตเวช จะทำให้พวกเราเข้าใจเหตุผลการกระทำของคน มากขึ้น อย่างที่ยกตัวอย่างไป ถ้าพบเห็นคนที่พยายามมาทำดีกับเรามากๆ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า เบื้องหลังคนนั้นๆ คงมีสิ่งไม่ดีแอบแฝงอยู่เช่นกัน ถ้าพูดถึงการเมือง ต้องยกตัวอย่าง เช่น การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ใกล้ถึงนี้ บางคนโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ดูดี หาเสียงมากมาย “บริหารกรุงเทพฯ ให้เป็นตัวอย่างการบริหารประเทศ” แต่เบื้องหลังเคยวิจารณ์คนกรุงเทพฯว่าฉลาดน้อย ที่เลือกคุณรสนา โตสิตระกูล เป็น ส.ว. อย่างนี้ คิดไว้ก่อนเลยว่า “สร้างภาพ” และคงสอบตกแน่นอน

มีเรื่องหนึ่งที่ จิตแพทย์ เป็นห่วงกันมาก คือเกี่ยวกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ อยากฝากความห่วงใยบอกผู้ที่ไปชุมนุมว่า ต้องพักผ่อนด้วยนะครับ ระมัดระวัง รักษาสุขภาพให้ดี เพราะการอดหลับอดนอน และอยู่กับผู้คนจำนวนมาก จะทำให้เครียด และอาจแสดงความก้าวร้าวรุนแรงออกมาได้ (แต่ถือว่าโชคดีมากที่ แกนนำพันธมิตรฯ เข้าใจเรื่องนี้ จึงมีศิลปิน มาร้องเพลง แสดงการแสดงบนเวทีอยู่ ลดความเครียดมวลชนไปได้เยอะ)

ต้องระวังเรื่องท่าที่การแสดงออกกันด้วย เพราะล่าสุดมีดาราคนหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์วิจารณ์คนที่มาชุมนุม ว่า ทำให้ในหลวงบรรทมไม่สนิท ดาราคนนี้ จิตแพทย์รู้กันดีว่า เป็นเรื่องของผู้ป่วยติดยาเสพติด

การรักษาผู้ป่วยทางด้านจิตเวช ถ้าจะพูดโดยรวมๆ คือการที่เราจะสงสัยว่าใครป่วยทางใจนั้น เรามักนึกถึงเรื่องทางกายก่อนด้วย เช่นบางคนถูกอุบัติเหตุ สมองกระทบกระเทือน ก็เป็นสาเหตุให้ป่วยทางจิตได้, บางคนป่วยเพราะได้รับสาร หรือเสพยาเสพติดมากเกินขนาด ดังนั้น จิตแพทย์ส่วนหนึ่งก็รักษาผู้ป่วยติดยาด้วยเช่นกัน

ในรายดาราคนนี้ ติดกัญชา(Cannabis/Marijuana) และเสพมานมนาน กัญชาจัดเป็นสารเสพติด ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายสมองนั่นเอง เพราะฉะนั้น การทำงานที่ใช้สติปัญญา ความนึกคิด จะลดลง ผู้อ่านจึงมักคิดว่าทำไมดาราคนนี้ถึงกล้าดีมาวิจารณ์ ก็ เพราะสมองถูกทำลายไปแล้วมากนั่นเอง จึงฉลาดน้อย

ผู้เสพกัญชา จะทำให้ผู้ป่วยช่างพูด หัวเราะ ยิ้มแย้มตลอดเวลา ท่านผู้อ่านจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดาราคนนี้ถึงให้สัมภาษณ์โดยไม่ไตร่ตรอง เพราะว่าอารมณ์ครึกครื้นจากฤทธิ์กัญชานั่นเอง บางอารมณ์ อาจเซื่องซึม ดูคล้ายคนเมาด้วย แม้จะไม่ได้ทานเหล้ามาก็ตาม จะเห็นได้ถึงอาการซึม รวมถึงร้องไห้ด้วยในเวลาต่อมา หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆจะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา (Visual hallucination) หูแว่ว (Auditory hallucination) ความคิดสับสน(Confusion) ควบคุมตนเองไม่ได้ คิดว่าคงพอตอบท่านผู้อ่านได้ว่า ทำไมดาราคนนี้ดูพูดจาสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้ ให้สัมภาษณ์อย่างไม่มีสติปัญญา เพราะอะไร

เรื่องยาเสพติด ยังมีอีกมาก และแม้ว่ารัฐบาลบางรัฐบาลจะคุยว่าตนเองปราบปรามยาเสพติดได้หมด แต่จริงๆแล้ว แวดวงดารา-นักการเมือง-ลูกนักการเมืองดัง-ไฮโซใจต่ำ ก็ยังเสพยากันอยู่มาก ถ้าเสพมากๆก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ ก็เป็นโชคดี เพราะแผ่นดินจะสูงขึ้น น้ำจะได้ไม่ท่วมโลก เนื่องจากโลกร้อนขึ้นทุกวัน

ไว้คราวหน้า ถ้าท่านบรรณาธิการกรุณาให้โอกาส จะมาเขียนต่อถึงเรื่อง โรคจิต โรคประสาท ต่างกันอย่างไร นะครับ นักการเมืองหลายท่านก็เป็นโรคประสาทชัดเจนครับ

[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]

Posted in: บทความ, วิชาการ, สถานการณ์บ้านเมือง Tagged: การเมืองไทย, คำศัพท์, จิตเภท, จิตเวช, ทักษิณ, นักการเมือง, ประสาท, สมัคร, เพี้ยน, โรคจิต, ไม่เต็ม

นักการเมืองโรคจิต

June 10, 2008 by Gla 6 Comments

นักการเมืองโรคจิต

                อยู่โรงพยาบาล พบว่า ทุกวันนี้คนป่วยเพิ่มมากขึ้น…
                เจ็บไข้ได้ป่วยทางกายไม่พอ ยังป่วยใจกันอีกต่างหาก…

                ท่ามกลางสภาพปัญหา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ของประเทศไทยปัจจุบัน

ปัญหาปากท้องประชาชน รายได้ไม่เพิ่ม ในขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นมาก อาหารการกิน ข้าวแพงขึ้น น้ำมันแพง ค่ารถแพง เสื้อผ้า อุปกรณ์ใช้สอยต่างๆแพงขึ้น คนหาเช้ากินค่ำอยู่ลำบาก จน เครียด กินเหล้า

                สังคมที่เสื่อมถอย สถิติอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ฟังข่าวแต่ละวันแล้วเศร้าใจ ปล้น-ฆ่า-ข่มขืน-หมกศพ-หมกส้วม ทั้งนี้เป็นเพราะคนไม่มีทางออกกับปัญหาความเครียด อาชญากรหลายคนอ้างว่าไม่มีทางเลือก

ปัญหาสื่อมวลชน ขายข่าวไม่สร้างสรรค์ ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ แทนที่จะเผยแพร่ความรู้ ให้ปัญญากับประชาชน สร้างสรรค์คุณธรรมจริยธรรมอันดี กลับกลายเป็นสื่อมุ่งแสวงหาผลกำไร แข่งขันกันหารายได้บนความเสื่อมของสังคม สื่อหลายสำนักทุกวันนี้ ขายความบันเทิงชั่วครู่ แต่ให้ความทุกข์และสร้างปัญหายืนยาวกับประชาชน จนไปสู่ปัญหาสังคมระดับชาติ ประชาชนอยู่ในสังคมที่มีแต่ความเสื่อม สภาพจิตใจย่ำแย่

                การเมือง เป็นการต่อสู้ของสองฝ่ายอย่างยืดเยื้อ เรื้อรัง ฝ่ายหนึ่งอ้างเสียงข้างมากของบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง อีกฝ่ายอ้างประชาชนผู้ปกปักษ์พิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จนพัฒนากลายมาเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” (วาทะแกนนำพันธมิตรฯ) เพื่อวัดกันไปเลยว่าประเทศไทยจะมีการปกครองแบบใด ระหว่างระบอบปัจจุบัน กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ

 การต่อสู้ทางการเมืองนี้ ฝ่ายหนึ่งบอกชัดว่าไม่สมานฉันท์กับโจรปล้นชาติ แม้จะมีคนบางส่วนในสังคมออกมาสร้าง ขบวนการริบบิ้นสีขาว ให้ทุกฝ่ายสมานฉันท์ แต่ก็ยัง “คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะฝ่ายหนึ่งไม่รู้เรื่อง” (คำพูด ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน 8 มิถุนายน 2551) “ฝ่ายหนึ่งบอกว่าต้องเอาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและอย่าไปแทรกแซงแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบประเด็นนี้ มันก็พูดกันต่อไปลำบาก” เรื่องราวการต่อสู้ สงครามที่ยืดเยื้อนี้ ทำให้คนที่ไม่สนใจการเมืองและประชาชนอีกมาก เบื่อการเมืองเป็นที่สุด ประชาชนเศร้าซึม กังวล เครียด

ยังไม่นับนักการเมืองผู้ใหญ่อีกหลายท่านในบ้านเมือง ที่ทุกวันดีแต่ใช้ปากโจมตีสื่อ โจมตีคนที่ไม่เห็นด้วย ใช้คำ หยาบคาย แต่กลับรณรงค์ให้นักเรียนไทยสมัยนี้ใช้ภาษาให้ถูกต้อง แหม! มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับ ไอ้กระผมก็ลำบากใจในเมื่ออ้ายพวกนักการเมืองทุเรศยังทำไม่ได้เลย มันถ่อยดีจริงๆ (ผู้เขียนไม่ได้เลียนแบบคำพูดใครนะครับ)

samakresized

 

จากการศึกษา วงการแพทย์พบว่า สถิติคนป่วยทางใจเพิ่มขึ้นทุกปี ป่วยเป็นโรคจิต ก็เพิ่มขึ้นมาก

                โพลล์ต่างๆสำรวจดรรชนีชี้วัดความสุขประชาชน ลดลงฮวบฮาบกันเป็นแถว

                เราจะหาทางออกกันอย่างไรดี? กับวิกฤตชาติบ้านเมืองในตอนนี้  ไว้จะเขียนในตอนถัดๆไป…

                ตอนนี้ ขอเล่าอะไรน่าสนใจให้ผู้อ่านฟังก่อน เพราะพอพูดถึงนักการเมืองทีไร เรามักจะคิดถึงภาพพฤติกรรมการโกงกิน ทุจริต การโกหก โป้ปด การใช้อำนาจมืด เส้นสายในทางที่ก่อความฉิบหายแก่ประเทศชาติ การมั่วเซ็กซ์ ผิดลูกผิดเมีย การผิดศีลธรรม จริยธรรมอันดีของสังคม และ อื่นๆ ฯลฯ สารพัด

                ผมจะพยายามอธิบายพฤติกรรมเล่านี้ โดยใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมา

พฤติกรรมที่พวกนักการเมืองเหล่านี้ทำ เป็นการแสดงออกทางแบบแผนหรือลักษณะจำเพาะของแต่ละบุคคล เป็นผลรวมของความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ ที่ดำเนินไปในชีวิตประจำวันปกติ เมื่อมีการแสดงออกที่ผิดปกติมากจนเกินไป จะเรียกว่าได้ว่ามี “ความผิดปกติของบุคลิกภาพ” พวกนี้จะเป็นโรค “พฤติกรรมเบี่ยงเบน” และต่างจากคนปกติมาก

                ตัวอย่างเช่น เรื่องอารมณ์แปรปรวน ในคนปกติสามารถอารมณ์แปรปรวนได้ เช่น ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น

สำหรับผู้ที่อารมณ์แปรปรวนมากๆจนเกินพอดี เช่น คนบางคน ตอนแรก อารมณ์ดี หัวเราะ ยิ้มแย้ม ชิมไปบ่นไป อีกสิบนาที ซึมเศร้า นิ่งเงียบ อีกห้านาทีกลับมาหัวเราะชอบใจอีก อีกสักพัก พอผู้สื่อข่าวถาม ก็โกรธพาลโมโห ด่ากราดคนอื่นไปทั่ว อันนี้ คนทั่วไปเห็นก็รู้ว่าบ้า และพบได้ในนักการเมืองบางท่าน เรียกว่า เป็นความผิดปกติของบุคลิกภาพ หรือมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน นั่นเองครับ

ในภาษาทางการแพทย์ มีคำหลายคำที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ วันนี้ขอยกตัวอย่างเพื่อให้ความรู้เฉพาะบางคำ

 Histrionic หรือ ฮิสทีเรีย คนทั่วไปน่าจะเคยได้ยินคำว่า ฮิสทีเรีย และพาลนึกไปถึงผู้หญิงที่ชอบอยู่กับผู้ชาย จริงๆแล้วไม่ใช่ ฮิสทีเรียหมายถึง ลักษณะการชอบเรียกร้องความสนใจอย่างมาก

เราจะเห็นนักเมืองหลายท่านมีพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจสูง โดยจะแสดงความคิด และความรู้สึกที่เกินความเป็นจริง แสดงสีหน้าท่าทางเกินจริง จะชัดเจนมากในช่วงเลือกตั้ง และในทุกวันนี้จะเห็นได้ในการแถลงข่าวต่างๆ พวกนี้จะทำทุกสิ่งให้มีความสำคัญมากกว่าที่เป็นอยู่ คือการสร้างภาพ ว่าตัวเองทำสิ่งต่างๆยิ่งใหญ่ มีบุญคุณต่อประเทศชาติ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ใช่เลยก็ตาม

ลักษณะพวกนี้ ยังมีเพิ่มเติมอีก คือเวลาพูดคุยมักจะจีบปากจีบคอ ทำตัวเหมือนแสดงละคร ใช้ภาษาสละสลวย จะเห็นได้ในนักการเมืองบางท่าน พูดภาษาอังกฤษอย่างสละสวยโจมตีศักดินา แล้วหาว่าคนอื่นแปลเป็นไทยผิด รวมถึงพวกนี้ มักจะทำตัวให้ดูดี หวีผมเรียบแปล้ อยู่ตลอดเวลา จนคนพาลคิดว่าเป็น “เจ๊”

Borderline นี่คือพวกอารมณ์แปรปรวน มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่มั่นคง มีความผันแปรบ่อย พวกนี้ถ้าใครดีด้วยจะเทิดทูนบูชาอย่างมาก แต่ถ้าใครไม่เห็นด้วย มักจะโกรธอย่างรุนแรง ไม่เห็นความดีของคนคนนั้นอีกเลย จะเห็นได้จากนักการเมืองที่ผลักผู้ไม่เห็นด้วยหรือผู้คัดค้านไปเป็นศัตรูเสียทั้งหมด ประชาชนคนไหนไม่เลือกพรรคเราก็จะไม่ดูแล ถือเป็นศัตรู

Dependent คือพวกยึดถือพึ่งพา จะไม่สามารถทำอะไรได้เองเท่าไร อยากเป็นผู้ตาม ต้องให้มีคนนำก่อน ไม่ค่อยกล้าทำอะไรเอง ต้องให้คนอื่นมาทำให้ จะเห็นได้จากนักการเมืองที่ย้ายพรรค ย้ายมุ้งบ่อยๆ เพราะขาดเจ้านายไม่ได้ เพราะจะรู้สึกขาดที่พึ่งพิง และรู้สึกขาดเงินด้วย

Narcissitic พวกนาซีนั่นเอง คิดถึงพวกจอมเผด็จการ หรือนายกฯบางสมัยก็ได้ พวกนี้จะ คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองมีความสำคัญอย่างมาก พวกนี้ชอบได้รับคำชม คำสรรเสริญเยินยอ แต่จะทนไม่ได้เลยกับคำวิพากษ์วิจารณ์ คำด่าทอ แม้ว่าจะเป็นคำวิจารณ์จากผู้หวังดีก็ตาม

คนพวกนี้มักเพ้อฝันถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง หรือความสวยงามของตน วาดฝันโครงการเมกะโปรเจ็คล้านล้านบาทเลิศเลอ ที่อาจทำไม่ได้จริง

คนรอบข้างทั่วไปมักมองว่าพวกนี้ไม่เคยเห็นใจคนอื่น ไม่เคยพยายามเข้าใจความรู้สึกของคนรอบตัว หรือผู้ร่วมงาน ในบางครั้งพวกนี้จะเป็นพวกชอบหลอกใช้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตาม ฟ้าได้ลงโทษพวกนี้ เนื่องจากว่า ลึกๆแล้วพวกนี้จะมีความมั่นใจแบบเปราะบาง ถ้าโดนโจมตีมากๆเข้าก็จะซึมเศร้าได้ง่าย เช่น โดนม็อบประท้วง พวกนี้จึงต้องอาศัยหมอดีและเก่ง คอยช่วยเหลือ รักษา ให้ยา บรรเทา ก็จะกลับมาบ้าพลัง บ้าอำนาจ ได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ลาภ ยศ อำนาจ เงินตรา ทรัพย์สินไม่ยืนยง พอสิ้น อำนาจ สิ้นทรัพย์สิน ก็จะรู้สึกเหี่ยว และตายไปเองอย่างอเนถอนาถ

Schizophrenia เป็นโรคจิตที่พบบ่อยที่สุด มักมีอาการในช่วงวัยรุ่น รายละเอียดไม่ขอลงลึก ให้ไปหาอ่านเอง แต่ที่ชัดเจน ควรรู้ไว้คร่าวๆ คือ คนที่เป็นโรคนี้ จะมีความรู้สึกหลงผิด ที่เกินกว่าความเป็นจริง เช่นนึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ถึงขั้นครอบครองประเทศชาติได้

พวกนี้มักมีอาการประสาทหลอนด้วย โดยเฉพาะ หูแว่ว ได้ยินเสียงเป็นเรื่องเป็นราว เช่น เดินไปตามถนน ได้ยินเสียงคนพูดกันเรื่องตัวเองกันมากมาย หรือ เสียงวิจารณ์ตัวเอง ด่าตะโกนให้ “เข้าคุก” “ออกไป”

[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]

Posted in: บทความ, วิชาการ, สถานการณ์บ้านเมือง Tagged: การเมืองไทย, คำศัพท์, จิตเภท, จิตเวช, ทักษิณ, นักการเมือง, ประสาท, สมัคร, เพี้ยน, โรคจิต, ไม่เต็ม

อวดผลงานวิชาคอมพิวเตอร์

March 21, 2007 by Gla 12 Comments
การบ้านวิชาคอมพิวเตอร์ หัวข้อ “ชีวิตในรั้วโรงเรียนมัธยม” ไม่เกิน20 บรรทัด

 

นักศึกษาทุกคน ก่อนที่จะมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยได้ ทุกคนย่อมเคยเป็นนักเรียน และผ่านโรงเรียนมัธยมมาด้วยกันทั้งนั้น

ย้อนนึกถึงสมัยเมื่อเราเรียนอยู่มัธยม ช่างแตกต่างกับชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยเสียเหลือเกิน

ข้าพเจ้าเรียนจบมัธยมต้นจากโรงเรียนนครสวรรค์ห้องคิงและเป็นห้องโครงการดาวรุ่งมุ่งสู่โอลิมปิก จบมัธยมปลายจากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์ ที่เป็นโรงเรียนประจำและทุกคนเป็นนักเรียนทุน ทั้งสองโรงเรียนนี้มีความเหมือนกันบนความแตกต่าง คือได้ให้ประสบการณ์และบทเรียนที่ดีแก่ข้าพเจ้าในด้านต่างกัน แต่มีบุญคุณ ทำให้ข้าพเจ้าได้ดีจนถึงทุกวันนี้เหมือนกัน

ความสำเร็จของคนแต่ละคนนั้น กล่าวได้ว่าหนทางไกลหมื่นแสนลี้เริ่มต้นจากก้าวแรก ข้าพเจ้าเชื่อว่านอกเหนือจากครอบครัวซึ่งสำคัญเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ชีวิตในรั้วโรงเรียนมัธยมมีส่วนสำคัญมากในการสร้างพื้นฐาน และบ่มเพาะรากฐานของชีวิตคนคนหนึ่ง สภาพแวดล้อมใน สมัยเรียนมัธยม และการสอนสั่ง ปลูกฝังจากอาจารย์ มีผลต่ออนาคตของนักเรียน ไปจนถึงจุดสูงสุดของชีวิต

สมัยมัธยมต้น ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมาโดยตลอด อยู่หอพักที่มีอาจารย์หอพักดี เอาใจใส่ และเน้นให้เด็กมีระเบียบวินัย การเรียนในห้องเรียน อาจารย์ผู้สอนมีความสามารถและทำให้ข้าพเจ้าตักตวงความรู้ได้มาก นอกจากนั้นด้วยความสนใจส่วนตัว และการสนับสนุนของอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงมักจะแข่งขันทางวิชาการและได้รับรางวัลทั้งในระดับประเทศหรือระดับจังหวัด สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน ในสมัยมัธยมต้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่เข้าใจการกระทำของคนอื่นสักเท่าไร และยังช่วยเหลือเผื่อแผ่เพื่อนๆหรือสังคมได้ไม่มาก ซึ่งในภายหลังได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ในสมัยมัธยมปลายสภาพแวดล้อมดีมากขึ้น และด้วยคุณภาพของโรงเรียน ข้าพเจ้าจึงยิ่งได้รับโอกาสมากได้พบกับสิ่งดีดี มีความรู้ ข้าพเจ้าไม่เคยต้องเรียนพิเศษเหมือนที่นักเรียนส่วนใหญ่ในประเทศเรียนกัน ข้าพเจ้ากลายเป็นนักกิจกรรม และได้ทำกิจกรรมต่างๆมากมาย ได้ความรู้และมีความสามารถในหลายด้าน เรียกได้ว่า ความรู้นอกบทเรียน ซึ่งยังผลความสำเร็จและทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและก็ยังเป็นเช่นดังว่ามาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ที่นี่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จัก พบเจอกับเพื่อนที่มีความคิด มีความสามารถระดับประเทศหลายคน ข้าพเจ้าได้ประสบการณ์หลายอย่างที่ดี

ในสมัยมัธยม เรื่องหลักๆที่จะเป็นความประทับใจ และไม่ลืมเลือน สำหรับคนทั่วไป ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเรื่อง “เพื่อน”

คุณแม่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า “เราจะสนิทกับเพื่อนตอนเป็นนักเรียนมัธยมปลาย มากที่สุด” และข้าพเจ้าเชื่อว่าคนหลายๆคนก็คงคิดเช่นกัน สำหรับข้าพเจ้าเอง คิดต่างไปเล็กน้อย เพราะข้าพเจ้าเป็นคนมีเพื่อนมาก และมีเพื่อนสนิทกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสมัยไหน มหาวิทยาลัย มัธยม หรือประถม จนไปถึงกระทั่งสมัยเรียนชั้นอนุบาลก็ตาม

เพื่อนในสมัยมัธยมมีผลกระทบต่อเราอย่างมาก ถ้าช่วยกันกระตุ้นการเรียนก็จะช่วยกันในทางที่ดี แต่หากชวนกันไปสำมะเรเทเมา ก็ทำให้เหลวแหลก ข้าพเจ้ามีเพื่อนทุกประเภท ตั้งแต่ขายยา เที่ยวผู้หญิง จนไปถึงระดับนักเรียนทุนโอลิมปิคต่างประเทศ ความสนิทกันนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลายวงการ มีเพื่อนทุกวงสังคม และข้าพเจ้าไม่เคยลืมเพื่อน หมั่นติดต่อกันอยู่เสมอ

สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าทำให้คนเราสนิทกันได้มากในสมัยเป็นนักเรียนมัธยม เป็นเพราะว่าความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนตอนเป็นผู้ใหญ่

มัธยมที่ผ่านพ้นไปเป็นความทรงจำที่ดี เป็นเบื้องหลัง เป็นที่มาของตัวตนข้าพเจ้าในวันนี้ และสำคัญที่สุดคือเป็นแรงผลักดันให้ข้าพเจ้าและหลายๆคนเดินก้าวต่อไปในทางที่มุ่งไป เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีความสามารถ มีคุณธรรม ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ไม่เสียทีที่เกิดมา ด้วยศรัทธา “สูญเสียเพื่อนดีดียิ่งกว่าเสียทรัพย์นับแสน แต่สูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธายิ่งกว่าเสียเพื่อนหมื่นพันมหาศาล”


ช่วงนี้เริ่มวุ่นวายอีกแล้วครับท่าน วันนี้ไม่สามารถอัพบล็อกได้เนื่องจากติดภารกิจครับ
ดังนั้น วันนี้ จึงใคร่ขอขึ้นผลงานวิชาคอมพิวเตอร์ CSC100 ไปพลางๆก่อนละกันครับ มีสองส่วน คือ
1.เรียงความโดยใช้ Notepad 2.ผลงานวาดภาพโดยใช้โปรแกรม MS paint
[ช่างเป็นหลักสูตรการเรียนที่เก่าแก่ ขนาด Storage media ยังใช้ Floppy Disk (A:) แผ่นสี่เหลี่ยม 1.44MB รุ่นเก่ากึกอยู่เลยล่ะครับ]
Posted in: บทความ, วิชาการ, ส่วนตัว Tagged: กระต่าย, คอมพิวเตอร์, บทความ, มหาวิทยาลัย, รังสิต, วิชา, ศิลปะ
« Previous 1 2

Search everything ค้นหา

Archives บทความ

Categories ประเภท

Recent Posts ประกาศล่าสุด

  • Be Original: Chanesd Srisukho (Health and Beauty Center by Doctor Gla)
  • ร่วมรำลึกถึงคุณย่าอัมพร ตันเจริญ
  • รายการหมอกล้าเล่า ถึงไหนแล้ว
  • หมอกล้าเล่า ตอนที่ 4 ความอ้วน, รายการหมอกล้า, ชเนษฎ์ ศรีสุโข
  • หมอกล้าเล่า ตอนแรก, TheOrigin, ชเนษฎ์ ศรีสุโข, หมอกล้าเล่า

Pages หน้า

  • About (Eng)
  • Introduction to Bloggla.com
  • Multimedia
  • ชเนษฎ์ ศรีสุโข เว็บไซต์ส่วนตัว หมอ ต้นกล้า Chanesd Srisukho
  • รู้จักคุณหมอชเนษฎ์
    • Education & Work
    • การศึกษาและงาน
    • เกียรติประวัติและกิจกรรม

เลือกอ่านบทความตามคำค้นหา

cpird MWIT กระทรวง กลอน กล้า การชุมนุม การเมือง กีดกัน จับฉลาก จิตวิทยา จิตเวช ชุมนุม ชเนษฎ์ ชเนษฎ์ ศรีสุโข ทักษิณ ธรรม นักการเมือง นักศึกษาแพทย์ บทความ บุญเชียร ประท้วง ประวัติ ประวัติศาสตร์ ปัญหา ปานเสถียรกุล พญ มหาวิทยาลัยรังสิต มหิดลวิทยานุสรณ์ รังสิต รุ่นพี่ วงการแพทย์ ศรีสุโข สาธารณสุข หมอ หมอกล้าเล่า อาจารย์ อาทิตย์ เพิ่มพูนทักษะ เรียนต่อ แพทยสภา แพทย์ แพทย์ชนบท แพทย์พี่เลี้ยง แพทย์รังสิต โรคจิต

Copyright © 2015 (A) Blog (of) Gla : Chanesd Srisukho.