พรบ.ฯ และมุมมองทางจิตวิทยา
ชเนษฎ์ ศรีสุโข bloggla.com
*ตีพิมพ์ในนิตยสาร demo-crazy.com ฉบับ 20
ข่าวคราวที่มาแรงในสังคมไทยหลายเดือนมานี้ เกี่ยวกับ พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์
คนส่วนใหญ่ที่ติดตามข่าวสาร แต่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียด คงเห็นพ้องต้องกันว่า พรบ.นี้ มีเจตนาดี หลักการสำคัญเพื่อเยียวยาผู้เสียหายจากบริการทางสาธารณสุข เป็นสังคมเอื้ออาทรต่อกัน ช่วยเหลือกัน
หลายคนคงเห็นแพทย์ โดยเฉพาะแพทยสภาที่ออกมาคัดค้าน เป็นตัวร้ายของเรื่องนี้ไป
ส่วนตัวผมเอง มีความเคารพอาจารย์ในแพทยสภาหลายท่าน และก็ไม่ศรัทธาอาจารย์บางท่านเช่นกัน แต่ประเด็นของเรื่องนี้ อยู่ที่ “ประโยชน์ของประชาชน” ดังนั้นต้องอธิบายว่าที่แพทย์หลายส่วนไม่ยอมรับ พรบ.นี้ แต่งชุดดำ ออกมาคัดค้านกันนั้น คงไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ตนเองเพียงส่วนเดียว
แพทย์ที่หวังประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง (ตามพระราชดำรัสสมเด็จพระราชบิดา) ยังมีอยู่มาก แต่ที่ต้องคัดค้าน พรบ. ก็ด้วยเรื่องรายละเอียดข้อกฎหมายที่มีความขัดแย้ง-ทับซ้อนกับกฎหมายที่เป็นประโยชน์อยู่แล้ว, เปิดช่องให้ผู้เข้ามาหาผลประโยชน์ ตลอดจนแทนที่จะช่วยเยียวยาผู้ป่วย อาจสร้างความร้าวฉานมากขึ้น ชดเชยไม่ครอบคลุม ไม่โปร่งใส เป็นต้น
ประเทศไทยเรายากจน นักการเมืองคิดว่าตนเองฉลาด ก็มักใช้นโยบายประชานิยม สมัยสามสิบบาทพาราทุกโรค(ไม่แน่ใจว่าชื่อนี้หรือไม่ แต่เห็นนักวิชาการตั้งชื่อให้) ระบบประกันสุขภาพ ทำให้โรงพยาบาลรัฐบาลรับภาระงานหนัก ขาดทุนงบประมาณประจำปี แพทย์ในโรงพยาบาลรัฐเหนื่อยมากขึ้น คุณภาพการรักษาลดลง นักการเมืองสมัยนั้นก็ยังได้คะแนนนิยม และเบื้องหลังก็ไปกว้านซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนจำนวนมาก รองรับผู้ป่วยที่ไม่สะดวกเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐ สรุปนักการเมืองสมัยนั้นก็ยังรับทั้งขึ้นทั้งร่อง
นักการเมืองเช่นนี้ มีทุกยุคสมัย หลอกใช้คนดี มีอุดมการณ์เพื่อประชาชน สมัยระบบประกันสุขภาพ อ.นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ก็เป็นอาจารย์แพทย์อุดมการณ์ที่ถูกหลอกใช้เพื่อเรียกคะแนนนิยมให้นักการเมือง ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ประชาชนหลายส่วนกลับไม่ทราบว่าเจตนาดีเพื่อประชาชนริเริ่มมาจากท่าน แม้กระนั้น เจตนาอันดี กับระบบที่ไม่พร้อม ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น ปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบจนถึงทุกวันนี้ยังไม่จบสิ้นดี
ในเรื่อง พรบ. ล่าสุด ผมก็ยังเห็น NGOและนักเคลื่อนไหวเรื่องนี้หลายคน ที่มีเจตนาดี และยอมจับมือกับฝ่ายการเมือง และฝ่ายอื่นๆ ด้วยหลักการอันดีเยียวยาผู้เสียหายจริงๆ พวกท่านได้ทำคุณูปการต่อแวดวงสาธารณสุขไทยไม่น้อย เพียงแต่ต้องใช้เวลา ไม่เร่งรีบ (ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย แม้เป็นประเทศรวย คุณภาพชีวิตประชากรดี ยังต้องใช้เวลา 10-20ปี กว่าจะค่อยๆเปลี่ยนได้) การพูดคุยเรื่องรายละเอียดที่ฝั่งแพทย์จำนวนมากท้วงติง น่าจะเกิดประโยชน์ แพทย์ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานจะได้สบายใจ ประชาชนเป็นสุข
นอกจากนี้เรื่อง พรบ.นี้ เมื่อทำระยะยาวให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม เป็นประเด็นกระตุ้นให้สังคม “ตื่นตัว” พูดคุยกันมากขึ้น การถกเถียงสาระสำคัญในวงกว้าง สร้างปัญญาให้แก่สังคมมากขึ้น…
เมื่อเขียนถึงเรื่อง พรบ.แล้ว จะเขียนเรื่อง เกี่ยวกับมุมมองทางจิตวิทยา เรื่องความสัมพันธ์แพทย์กับผู้ป่วย บ้าง
เคยอธิบายในบทความเก่าๆ เรื่อง กระบวนการแสดงออกเพื่อตอบสนองต่อความทุกข์ เรียกว่า Grief reactionประกอบไปด้วย Denial การปฏิเสธความจริงเมื่อแรกเริ่ม Anger ความโกรธ โทษผู้อื่น(หรือตนเอง)ว่าเป็นต้นเหตุ Bargaining เริ่มมีการต่อรองยอมรับสภาพความเป็นจริง Depression มีความเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้น และ Acceptance คือการยอมรับในที่สุด
เวลาที่กรณีผู้ป่วยได้รับผลการรักษาไม่เป็นตามที่ควร หรือถึงแก่ชีวิต อันเป็นข่าวฟ้องร้องทะเลาะกันมากนั้น น่าจะยกบางตัวอย่างของ มุมมองสุดขั้วทั้งสองฝ่ายขัดแย้ง ได้ดังนี้
ความเห็นในแต่ละขั้นของ Grief reaction | ฝ่ายผู้ป่วย | ฝ่ายแพทย์ |
Denial | ไม่ควรถึงแก่ชีวิต ควรเป็นโรคที่รักษาได้ผลดีกว่านี้ | หมอทำดีที่สุดแล้ว |
Anger | เป็นเพราะหมอฝีมือไม่ดี | คนไข้ไม่เข้าใจหลักวิชาการ |
Bargaining | หมอจะชดเชยอะไรได้หรือไม่ | แค่นี้ก็ทำงานหนักจะแย่อยู่แล้ว อย่ามายุ่ง |
Depression | ฉันจมกับความทุกข์ ไม่มีหมอดีดีแล้ว | เบื่อคนชอบฟ้อง ต่อไปจะไม่มีใครอยากเป็นหมอแล้ว ลาออกๆ |
Acceptance | ตายแล้วก็ช่าง (แต่ขอล้างแค้น) | ตายแล้วจะเอาอะไรอีก (ไม่ใช่ความรับผิดชอบของแพทย์แล้ว) |
ในตารางนี้ยังไม่รวมมือที่สาม สี่ ห้า ที่อาจเป็นปัจจัยเรียกร้อง Tertiary gain (กำไรระดับสามทางจิตวิทยา) คือเรียกร้องนอกเหนือจากพ้นทุกข์ พ้นโรค (primary gain) ได้รับการเห็นใจทางสังคม (secondary gain) แล้ว ยังต้องการประโยชน์อื่นอีกด้วย เช่น “เงิน”
ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นหาก เดินทางสายกลาง เอาใจเขาใส่ใจเรา และการพูดคุยสื่อสารที่เหมาะสม
พึงพิจารณาดูตารางนี้กัน และคิดแก้ไข ปรับทัศนคติ เริ่มจากที่ตนเองก่อน จะเกิดผลดีแก่ทุกฝ่ายครับ