ข้อมูลประชาสัมพันธ์พรรค(2)

ข้อมูลประชาสัมพันธ์พรรค(2)

โปรดเลือก เบอร์ 1

นโยบายพรรค กับ การจัดตั้งสภานักศึกษา

สภาฯ(จากสมาชิกผู้แทนนักศึกษาทุกคณะ)มีอำนาจเรียกร้อง ต่อรองสิทธิประโยชน์ได้มากขึ้น

จากประสบการณ์การทำงานของแกนนำพรรค
มีส่วนในการผลักดัน ต่อสู้ ร้องเรียน เพื่อการพัฒนาคณะนิติศาสตร์
, วิทยาลัยแพทยศาสตร์ และในหลายคณะ ปี
25492551มาแล้ว ได้ผลงานประจักษ์ชัด ทั้งเรื่องหลักสูตร, บุคลากร, อุปกรณ์, ห้องสโมสร, สถานที่ ฯลฯ

ดำเนินงานด้านงบประมาณ โปร่งใส และเป็นธรรม

งบประมาณปีละ 5-6ล้านบาท ตรวจสอบได้ ผู้แทนทุกคณะ(สภาฯ)มาร่วมกันตัดงบ อย่างเท่าเทียม

เสริมสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ ในหมู่นักศึกษา

ทำงานเป็นทีม เชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักศึกษา ลดการทะเลาะเบาะแว้ง

เปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วม

ทั้งการทำกิจกรรม และการสร้างสรรค์สังคม ร่วมมือกันทุกคณะ/วิทยาลัย

พัฒนาการเมืองภาคนักศึกษา ให้มีความเข้มแข็ง

สภาฯมีอำนาจเต็มที่ ทั้งนิติบัญญัติและการตรวจสอบ สร้างสรรค์ พัฒนา เพื่อประโยชน์ของนักศึกษาอย่างแท้จริง

พฤหัสบดีที่ 15 มกราคม 2552 เวลา 09:00-16:00 ที่ทำการคณะ/สถาบัน/วิทยาลัย ของตนเอง

มารวมพลังนักศึกษากันเถอะ

พวกเราพร้อมใน

v ประสบการณ์การทำงาน ทีมงานทุกคนในพรรค ผ่านการทำงานใหญ่เพื่อสังคมมาแล้วทั้งสิ้น

o แกนนำการต่อสู้ ร้องเรียนเพื่อการพัฒนาคณะนิติศาสตร์, มีการประท้วงขับไล่ผู้บริหารหลุดพ้นอำนาจ

o แกนนำการต่อสู้ ร้องเรียนเพื่อการพัฒนาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ได้รับการพัฒนาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

o แกนนำการต่อสู้ ร้องเรียนเพื่อพัฒนาองค์กรอื่นๆ เช่น คณะแพทย์แผนฯ, ชมรมมุสลิม

o ผลงานการพัฒนาพื้นที่ห่างไกล, การปลูกป่าในที่ธุรกันดาร, การสร้างอาคารเรียนในชนบท

v มีวุฒิภาวะ

o วุฒิภาวะทางอารมณ์ พร้อมด้วยสติปัญญา ใช้สันติวิธี ไม่ก้าวร้าว ไม่ไร้เหตุผล

v ทำงานเป็นทีม

o ไม่มีโชว์อ็อฟเดี่ยว การทำงานเป็นทีมส่งผลดีต่อการผลักดันทุกคนมารวมพลังกัน

o มุ่งสร้างสภานักศึกษา ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทุกคณะ/วิทยาลัย เป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดีแก่ทุกคณะ/วิทยาลัย

v โปร่งใส ตรวจสอบได้

o งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ จากเงินงบรายปีกว่า 5-6 ล้านบาท ต้องตรวจสอบได้

o การจัดสรรงบประมาณให้ชมรมต่างๆ เป็นไปอย่างยุติธรรม ด้วยการทำงานของสภานักศึกษา

o สโมสรนักศึกษา จะนำงบใดใดไปใช้ จะต้องผ่านสภานักศึกษาพิจารณา มิให้ใช้ในทางมิชอบ

v เรียกร้องผลประโยชน์เพื่อนักศึกษาอย่างแท้จริง

o ไม่มีประโยชน์แอบแฝงกับคณาจารย์, คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือผู้บริหารคนใด

o ผู้บริหารมีสิ่งใดไม่ถูกต้องเหมาะสม นักศึกษา กล้าท้วงติง เพื่อการสร้างสรรค์

o สภานักศึกษาคอยตรวจสอบ/ถ่วงดุลอำนาจสโมสรนักศึกษา มิให้มีการทุจริต ประพฤติมิชอบ

o สภานักศึกษาคอยเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์นักศึกษา เมื่อมีนักศึกษาปัญหา สภาช่วยเหลือ

v มีคุณธรรม

o ไม่คดโกง โกงกิน ไม่มุ่งสร้างศัตรู ไม่ทำร้ายทำลายอย่างไร้สติ

ไม่มีมือถือสาก ปากถือศีล พูดจริง ทำจริง ให้จริง

สุขสวัสดิ์ปีวัว ๒๕๕๒

สุขสวัสดิ์ปีวัว ๒๕๕๒

เป็นธรรมดาของผู้คนบนโลกนี้ ที่จะมีการเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยยึดเอาวันที่1ของเดือนมกราคม ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ การเฉลิมฉลองทั้งหลายจะมีขึ้นทั่วโลก ตามโซนเวลาของแต่ละประเทศ จะมีประเพณีนับถอยหลังเข้าสู่วันใหม่ของปีอาจเป็นการเฉลิมฉลองตั้งแต่ปาร์ตี้เล็กๆ ไปจนถึงงานเคาท์ดาวน์รวมคนเป็นหมื่นเป็นแสน (บ้านเราคงไม่แปลกใจกันเท่าไร เพราะปีที่ผ่านมาก็มีการชุมนุมกันเป็นหมื่นเป็นแสนตลอดทั้งปี ฮ่า)

เทคโนโลยี และวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ทำให้มนุษย์สามารถที่จะสร้างสิ่งช่วยในการเฉลิมฉลองให้สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ยิ่งใหญ่อลังการ แม้จะเผาผลาญงบประมาณหรือเงินจำนวนมากในช่วงเทศกาลวันปีใหม่นี้ ผู้คนจำนวนมากก็ยินยอม

ต่างจากในอดีต ประเพณีเฉลิมฉลองเป็นไปแบบเรียบง่าย(คุณย่าบอก) ไม่มีงานชุมนุมคนจำนวนมาก ไม่มีงานใหญ่โตเฉกเช่นทุกวันนี้ ไม่มีแสงสีเสียงหรือพลุสวยงาม อาจอธิบายได้ว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไป โดยเรารับวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองยินดีจากทางตะวันตกเข้ามามากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ การเฉลิมฉลองใดใดก็ตาม หากมีวัตถุประสงค์และวิธีการที่ดี ก็เปรียบเสมือนงานมงคล ที่คอยเติมเต็มกำลังใจของผู้ร่วมงาน ให้ต่อสู้ชีวิตบนโลกใบนี้กันต่อไปหลายคนบอกว่า นี่ทำให้ชีวิตมีสีสัน มากขึ้น แต่ก็ระวังหมดบั้นท้าย (ภาษาสุภาพ) ก็แล้วกันนะครับ

หากแต่บทเรียนจากทุกๆปี คอยย้ำเตือนคนให้ระมัดระวัง อุบัติเหตุ หรือเภทภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลนี้ได้ บางครั้งแม้เราจะระมัดระวังแล้ว หากคนข้างๆไม่ระมัดระวัง เราก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วยได้ ที่กล่าวมานี้หมายถึงทั้งเรื่องการเฉลิมฉลองด้วยไฟ พลุ หรือวัตถุอันตรายต่างๆ และรวมไปถึงอุบัติเหตุจากการเดินทาง ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เขาจึงเรียกช่วงเทศกาลนี้ว่า “7วันอันตราย” นั่นเอง

สิ่งที่เป็นต้นเหตุอีกอย่างหนึ่ง ที่คนโทษกันว่าทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็คือ “สุรา” สุราทำให้ผู้คนขาดสติ ขาดความระมัดระวัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยๆ

แต่ความจริงทั้งหมดคือ ไม่ว่าจะดื่มสุราหรือไม่ หากประมาท ก็ล้วนทำให้เกิดแนวโน้มอุบัติเหตุต่อชีวิต และทรัพย์สินทั้งสิ้นดังนั้นจงตั้งสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ประมาท

ปีใหม่ กับการก้าวต่อไปของชีวิต… ล้วนเหมือนกันตรงที่ว่า เมื่อเรามองย้อนไปยังอดีต ไปยังปีเก่าๆ ถึงสิ่งที่เราได้ทำ สิ่งที่เราได้คิด สิ่งที่เราได้รับ ล้วนเป็นบทเรียน…

บทเรียนที่จะทำให้เราคิดว่าเราควรมุ่งต่อไปในทางใด ได้ทบทวนตนเอง การกระทำใดดีและควรทำ การกระทำใดไม่ดีและควรหลีกเลี่ยง บทเรียนตั้งแต่เรื่องการคบแฟน, การเรียน, การดำรงชีวิต ไปจนถึงเรื่องระดับใหญ่ๆ เช่น เศรษฐกิจ, การเมือง, ภาวะโลกร้อน, โอบามา, โอวบามาร์ค ฯลฯ

บทเรียนที่จะทำให้เราระมัดระวังทุกขั้นตอนของชีวิต อย่าได้ยึดติดกับความผิดพลาดเดิมๆ จนไม่กล้าก้าวเดินต่อไป และอย่าผิดพลาดซ้ำรอยประวัติศาสตร์(เช่นเดือนตุลาทมิฬ มีตุลาทมิฬแล้วทมิฬอีก จนไหม้เกรียม เป็นเรื่องน่าเศร้าสลด และขออย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย)

เราจะไม่ลืมความสูญเสียทุกครั้งที่สร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์และประเทศชาติ ความโศกเศร้า ผิดหวังในปีเก่า ล้วนก่อกำเนิดพลังที่จะต่อสู้ในปีใหม่

รวมถึงเป็นโอกาสอันดี ที่จะรำลึกถึงพระคุณของบุพการี, พ่อแม่, ญาติพี่น้อง, ครูบาอาจารย์, เพื่อนๆ ที่ดีต่อเรา ฯลฯ ผู้คนที่ช่วยเหลือเรา เมตตากรุณา และสอนสั่ง หล่อหลอมให้เรามายืนได้ถึงทุกวันนี้ รวมถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย

สำหรับผมเองคงต้องขอขอบคุณ INN News และพี่ที่ให้โอกาส มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ทั้งหมดนี้ ปีเก่า เปรียบเสมือนการสั่งสมประสบการณ์ ก่อเกิดบทเรียน ให้ผู้คนเรียนรู้ และเข้มแข็งมากขึ้น และพร้อมจะมองโลกในแง่ดี มุ่งมั่น เดินต่อไปในปีใหม่

ขอให้ทุกท่าน เดินทางโดยสวัสดิภาพ จากปีเก่าสู่ปีใหม่ ด้วยใจ กายที่แข็งแรงครับ

กลอนปีวัวใหม่ กับการฉลองชัย๒๕๕๒

สวัสดี ปีใหม่มา อีกคราหนึ่งระลึกถึง ซึ่งปีเก่า เราผ่านพ้น

แม้ลำบาก หมั่นพากเพียร มุ่งอดทนนี่แหละคน ต้องเข้มแข็ง แรงใจมี

ก่อเกิดผล วีรชน คนสร้างชาติให้ก้าวหน้า หาอืดอาด อยู่กับที่

พรประเสริฐ ไม่เลิศสู้ คุณความดีจิตใจนี้ ยิ่งใหญ่กว่า หาอื่นใด

คิดอ่านดี ทำความดี ให้เสมอแลไม่เผลอ มัวประมาท ขาดสงสัย

ตรึกตรองการ งานทั้งผอง มองการณ์ไกลศาสน์ กษัตริย์ รัฐอยู่ได้ เพราะชนพลี

อุปสรรค ทั้งหลาย ที่กรายกล้ำคร้ามเจ็บปวด ชอกช้ำ อย่าถอยหนี

เป็นบทเรียน ปีวัวใหม่ สู้ชีวีมอบกลอนนี้ ให้พี่น้อง ฉลองชัย

…ณ ซอยอารีย์

โปรดเลือกพรรค คนละไม้ คนละมือ เบอร์1 เป็นสโมสรนักศึกษา

โปรดเลือก

เบอร์1

เป็นสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต 2552

 

download โฆษณาประชาสัมพันธ์ ด้านล่าง

   http://cid-523455b1dff1e65a.skydrive.live.com/embedrowdetail.aspx/Party/Posterparty1.pdf

ใครอยากเห็น?

ใครอยากเห็น?

เขียนคืนวันที่ 22 พฤศจิกายน 2551

สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้ ล้วนย่อมมีการต่อสู้…

                การต่อสู้ตั้งแต่ระดับเซลล์ ต่อสู้เพื่อจะดำรงชีวิตรอด ตั้งแต่สมัยกำเนิดโลก เซลล์ตัวแรก วิวัฒนาการจวบจนปัจจุบัน สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่หลายล้าน นานาเผ่าพันธุ์ ต่างก็ต่อสู้เพื่อการอยู่รอด ไม่เป็นเหยื่อก็เป็นผู้ล่า

สำหรับมนุษย์ จริงๆ เราต่อสู้กันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นมนุษย์ยุคหิน หาอาหารเพื่อมีชีวิตอยู่ พัฒนาการของมนุษย์เร็วกว่าสัตว์อื่นมากมาย ทุกวันนี้แม้ไม่ต้องทำอาวุธยุคหินไปล่าหาอาหาร แต่การต่อสู้ก็ไม่หยุดยั้งเพียงเท่านั้น

ทุกวันนี้ สำหรับมนุษย์ เป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ ของหลายๆสิ่ง เช่น การอยู่รอดในสังคมที่ต้องใช้”เงิน”, การหาเลี้ยงปากท้องของตนเองและครอบครัว, การต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ

การต่อสู้อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ เชิงพัฒนาจิตใจ หาใช่การต่อสู้ทางร่างกาย เช่นทุบตี, ชกต่อย, ทำร้ายกัน ซึ่งเป็นเรื่องป่าเถื่อนไป แล้ว การต่อสู้เชิงพัฒนาจิตใจ เช่น การไขว่คว้าหาความสุขในชีวิต, เรื่องธรรมะ, การเอาชนะใจตนเอง, การมีศีลธรรม-คุณธรรม, การต่อสู้กับความเห็นแก่ตัว, การต่อสู้เพื่อพัฒนาสังคม

ดังนั้นทุกวันนี้ การต่อสู้ของมนุษย์ก็ยังมีอยู่เสมอ และการต่อสู้อันประเสริฐ ย่อมแสดงถึงการพัฒนาเชิงจิตใจของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ความพยายามเผยแพร่ธรรมให้แก่โลก ขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า รวมถึงบรรดาอัครสาวก และสาวกผู้ประเสริฐในปัจจุบัน ในหลายๆประเทศ, ศาสนาต่างๆที่สอนให้คนเป็นคนดี, การลด ละ เลิก ความอยาก ของตน

                ที่กล่าวถึงเรื่องการต่อสู้นี้ทั้งหลายนี้ เพื่อที่จะกล่าวถึงการต่อสู้ ของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” บ้าง

cheap-calling-to-thailand-flag

                หลายๆท่านที่มีโอกาสได้อ่านบทความของข้าพเจ้า ล้วนไม่ต้องสงสัย และเชื่อได้เลยว่า ข้าพเจ้าเป็นพันธมิตรฯ

                จริงๆแล้ว คำว่าพันธมิตรฯ อาจนิยามได้ว่าเป็นคนที่ไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เข้าข้างพันธมิตรฯ อยู่หลายครั้งหลายครา หลายคนมองข้าพเจ้าว่าหัวรุนแรง แม้ถึงขนาด ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าเคยโดนอาจารย์ที่เกลียดพันธมิตร กลั่นแกล้งมาหลายครั้งแล้ว เคยถูกคนด่าว่า ประณาม ถามว่า “มึงติดตามข่าวสารบ้านเมืองไป แล้วมึงคิดว่ามึงจะทำอะไรได้”

                ในความเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าอยากให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้เข้าใจว่า “จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้า” คือสิ่งใด ซึ่งคงเหมือนกับจุดมุ่งหมายของหลายๆคนในสังคมนี้ ไม่ว่าเสื้อสีใด

                จุดหมายของข้าพเจ้า คือ การพัฒนาเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น

            สังคมที่ดีขึ้น หมายถึงสังคมที่มีความสุขสงบ สังคมที่ผู้คนในสังคมไม่ว่าชนชั้นวรรณะใด สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สงบ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เข่นฆ่ากันตายเหมือนในปัจจุบัน มีความยุติธรรมที่มากขึ้น มีผู้บริหารและนักการเมืองที่สุจริตมากขึ้น ทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินมากขึ้น

                สังคมไทยที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการเมืองดีแล้ว การบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาทางสังคมเป็นไปได้ดี การส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การส่งเสริมการศึกษา ล้วนจะนำพาประเทศชาติให้พัฒนาได้ การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ทำให้สังคมมีความสงบสุขมากขึ้น เศรษฐกิจแบบพอเพียง แบ่งปันกันมากขึ้น ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ขูดรีดเลือดเนื้ออย่างทุกวันนี้ ฯลฯ

                อ้าว… เหมือน ”การเมืองใหม่” ของพันธมิตรฯ เลยนี่นา

                ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตร โดยหาใช่ว่าข้าพเจ้าคิดตามพันธมิตร ฟังเขา เลยบ้าตาม

แต่ ข้าพเจ้า คิด ก่อน เข้าร่วมพันธมิตร ด้วยซ้ำ

                ดังนั้น นี่คือคำตอบว่าทำไมพันธมิตรถึงต้องชุมนุม ทำหน้าที่แทนคนจำนวนมากของสังคม ที่มัวแต่เที่ยวเล่น สนุกสุขสรรค์ ท่ามกลางความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนของประชาชน ของสังคมในปัจจุบัน

พันธมิตร ไม่จำเป็นของฝ่าแดด ฝ่าลมฝน มานั่งชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทีท่าที่จะลาออกเลยสักที จนทุกวันนี้ถูกระเบิดเสียชีวิต อย่างน่าสลด ลองคิดถ้าผู้เสียชีวิตเป็นญาติของเรา จะเป็นเช่นไร ทำไมพันธมิตรยังต้องต่อสู้?

                ใครอยากเห็น สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกลบหลู่ดูหมิ่นไปมากกว่านี้ และโดยไม่รู้เลยว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่รอดได้ในวันข้างหน้าหรือไม่?

ใครอยากเห็น นักการเมืองโกงกิน ขายชาติ ขายแผ่นดินอีก การขายเขาพระวิหารแลกกับผลประโยชน์อดีตนายกฯ การออกนโยบายหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ที่ไม่เคยให้ประโยชน์กับประชาชน มีแต่หลอกลวงประชาชน นโยบายประชานิยม ที่ทำลายชาติทั้งสิ้น

                ใครอยากเห็น ความขัดแย้งในภาคใต้ ที่รัฐบาลไม่เคยทำสำเร็จ เพราะสร้างความร้าวฉานให้แก่ชาวใต้มามาก ทั้งอุ้มฆ่า-ถล่ม-สลาย, การไม่ให้ความยุติธรรมกับชาวใต้ จนทุกวันนี้ ฆ่า-ระเบิดกันทุกวัน และชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือใดใดกับรัฐบาลในการจับโจรอีก

                เหตุผลหลายๆอย่างนี้ ทำให้คนที่คิด “อยากเป็นคนดี ที่มีประโยชน์แก่สังคม” หลายคนออกไปร่วมชุมนุม

ในขณะที่หลายคนนอนเล่น เห็นคนตายเป็นเรื่องธรรมดา เห็นคอรัปชันเป็นเรื่องธรรมดา และตนเองก็อยากทำบ้างด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า “กลางกลวง” ไม่สนใจอะไรยกเว้นประโยชน์ตนเอง แล้วบอกว่าตนเองเป็นกลาง

                นักวิชาการ และคนที่เชื่อมั่นตนเองหลายคนบอกว่า ตนเองรู้จักคำว่าประชาธิปไตย ทั้งที่ชาตินี้ไม่เคยร่วมกิจกรรมทางการเมือง นั่งจิ้มแป้นพิมพ์ แล้วบอกว่าตนเองรู้จักประชาธิปไตย กิจกรรมที่ว่า ได้แก่ การเลือกตั้ง, การร่วมกิจกรรมสังคมต่างๆ, สิทธิ เสรีภาพจริงๆ, การชุมนุมแสดงพลังทางการเมือง

ก็เลยย้อนอดีตสักแค่ 3-4ปี ที่ผ่านมา วันนี้ประเทศชาติพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในด้านดีมากขนาดไหน ก็ไม่ใช่เพราะคนที่ล้วนอยากทำดี มีประโยชน์แก่สังคมหรอกเหรอ ทั้งผู้มีส่วนร่วมในสังคมภาคต่างๆ ประชาชน, NGO, ชนชั้นแรงงาน ฯลฯ

แต่สิ่งที่ถ่วงความเจริญไม่มีที่สิ้นสุด ก็คงยังเป็นการเมืองระบอบเก่า นักการเมืองเก่าๆ ที่คิดแต่โกงกินเพื่อตนเองอยู่ดี

สงครามครั้งสุดท้าย 23-24 พฤศจิกายนนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าตราบใดที่ไม่เป็นดังพระบรมราโชวาทที่ว่า

"…..ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครอง บ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ….."

k4

ก็จะเป็นดั่งพระบรมราโชวาท ที่ศักดิ์สิทธิ์ และทรงทอดพระเนตร เหตุการณ์ไกล

นั่นคือ จะเกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย ถึงขนาด เสียชาติ เสียแผ่นดิน ไม่รู้ว่าจะนองเลือดกันอีกกี่ครั้ง ตราบใดที่คนเลวยังปกครองคนดี

เหตุนี้ จึงมีคำกล่าวจากเวที ที่ว่า “ถ้าแพ้ ก็ยกประเทศให้เขาไปเลย”

ขอให้ท่านผู้อ่านที่คิดอยากทำประโยชน์ให้สังคมบ้าง อย่านิ่งเฉย…และคงต้องถามว่า ใครอยากเห็น? ประเทศไทยล่มจมต่อหน้า อย่าลืมนั่งเฉยต่อไป

กรณีแพทย์ปฏิเสธการรักษา

กรณีแพทย์ปฏิเสธการรักษา

ว่ากันว่าในสงครามทุกครั้ง ตั้งแต่อดีตกาล วิชาชีพแพทย์-พยาบาล เจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุข จะได้รับการยกเว้นจากสงคราม ห้ามยิง ห้ามทำร้าย เพราะวิชาชีพนี้ มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

ในบทบัญญัติบังคับในสนธิสัญญาเจนีวา สัญญาเพื่อการปฏิบัติต่อเชลยศึก ก็กล่าวถึงเรื่องการรักษาไว้ด้วย ว่าต้องมีการรักษาเพื่อประโยชน์ศัตรูหรือเชลยศึก โดยไม่เลือกปฏิบัติ นี่เป็นหลักมนุษยธรรมสากล

photo_doc_patient_resized

ในทางการแพทย์ ไม่เพียงแต่เรื่องสงคราม แต่เรื่องอื่นๆ แพทย์ย่อมพึงปฏิบัติต่อผู้ป่วยทุกคนอย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นหนึ่งในหลักการจริยศาสตร์ทางการแพทย์ คือ ความยุติธรรม (Justice) และยังมีข้ออื่นๆอีก เช่น สิทธิผู้ป่วย(Automy), การทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย(Beneficence), การไม่ทำร้ายผู้ป่วย(Nonmaleficence) เป็นต้น

ใคร่ขอยกตัวอย่างครับ

ในต่างประเทศ จะมีแพทย์อาสาขององค์กรเพื่อการกุศล และองค์กรเอกชน หลายองค์กร ที่ทำหน้าที่เข้าไปรักษาในพื้นที่สงคราม หรือพื้นที่ทุรกันดาร โดยเฉพาะถ้าพูดถึงองค์กรของสหประชาชาติ ทั้งส่วน WHO หรือ UNICEF ที่ช่วยเหลือเด็ก-เยาวชน ที่ได้รับภัยจากความยากจน ส่วนหนึ่งเป็นความพ่ายแพ้หลังสงคราม ไม่มีการเลือกปฏิบัติเชื้อชาติ วรรณะ ศาสนา แม้ว่าจะเป็นประเทศศัตรูก็ตาม

ในประเทศไทยของเรานั้น แพทย์อาสาฯ ช่วยเหลือผู้คน ก็มีมาก ข้าพเจ้าเคยเขียนเรื่องนี้ ในบทความ “ความสูญเสียของแผ่นดิน” กรณีแพทย์อาสา (พอ.สว.) และในภัยพิบัติต่างๆเราจะเห็นแพทย์อาสาสมัครช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่นในตอนสึนามิ แพทย์จำนวนมากลงพื้นที่ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือในภัยน้ำท่วมต่างๆนั้น จะมีผู้ปิดทองหลังพระเหล่านี้ คอยทำเพื่อผู้ยากไร้ ผู้ได้รับความลำบาก โดยไม่เลือกปฏิบัติ

ใน กรณีที่เป็นสงครามของไทยเรา คงนึกถึง เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ จะเห็นได้ว่า แพทย์ก็ทำการทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ ประชาชน รวมถึงผู้ก่อการร้ายด้วย และจะสังเกตว่าผู้ก่อการร้ายก็มักจะไม่โจมตี วางระเบิดโรงพยาบาล

•••

มากล่าวถึงกรณีที่เป็นข่าวกัน ความว่า แพทย์หลายท่าน ปฏิเสธการรักษาตำรวจ หลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ใช้เหตุผลว่า เพราะตำรวจไม่ปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ราษฎร กลับทำร้าย เข่นฆ่าประชาชน

มีผู้ขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ต้องชี้แจงก่อนว่า ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ใน 2 ฐานะ คือ 1.ฐานะนักศึกษาแพทย์ 2.ฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง

การแสดงความคิดเห็นอย่างไร ก็ย่อมถูกวิจารณ์ และต่อว่า จากผู้ไม่ประสงค์ดี หรือผู้อยู่ฝั่งตรงกันข้าม แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำวิจารณ์ใด ข้าพเจ้าขอขอบคุณมาก น้อมรับคำวิจารณ์เพื่อเป็นประโยชน์นะครับ

ความคิดเห็นครั้งนี้ ขอเรียนว่าเป็นการเลือกข้าง ข้างของความถูกต้อง ข้างของธรรม ที่เมื่อทำให้ใจเป็นกลางแล้ว

ข้าพเจ้าเห็นว่า วิชาชีพแพทย์ ไม่ควรถูกนำไปเชื่อมโยงกับทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเลยเลย การแสดงออกทางสิทธิ เสรีภาพทางการเมือง เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่เมื่อเกิดข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น เกิดการแถลงข่าว สื่อสารมวลชนติดตาม ก็เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา

ข้าพเจ้าเห็นอาจารย์แพทย์ สถาบันต่างๆ ผู้ปฏิเสธการรักษา อาจารย์แพทย์เหล่านี้ ถูกสังคมบางส่วน ต่อว่า และคลาบแคลงใจในความเป็นแพทย์ ผู้ดำเนินรายการทางวิทยุบางท่าน (ที่เป็นหม่อม) ก็โจมตี กล่าวหา ต่างๆนานา บ้างร้องเรียนแพทยสภาให้มาตรวจสอบ

อาจารย์แพทย์บางท่าน ได้ชี้แจงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ว่า เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เหมือนเวลาพ่อแม่ขู่ลูกว่า “เดี๋ยวตีให้ตายเลย” แต่ก็ไม่เคยตีลูกให้ตายสักครั้ง ในกรณีนี้ก็เช่นกัน เป็นการย้ำเตือนตำรวจ ว่าอย่าทำร้ายประชาชน เป็นการย้ำเตือนไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา

ถ้าถามข้าพเจ้าว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมาะสมไหม ก็คงมีคำตอบครับ

หลายคนถามว่า แพทย์สามารถปฏิเสธการรักษาได้หรือไม่

คำตอบคือ “ไม่ได้ครับ”

แม้ว่าจะเป็นฆาตกร ผู้ร้าย ขนาดไหน หรือเป็นเรื่องทางการเมือง จะปฏิเสธการรักษาคุณทักษิณ คุณพจมาน ชินวัตร หรือ บุคคลที่มีความคิดทางการเมืองตรงกันข้าม ก็ไม่ได้

อ่านประโยคข้างบนให้ดีนะครับ… พระราชบิดา หรือวงการแพทย์สากล ระบุไว้ชัดว่า การแพทย์ต้องเป็นการทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย

แต่… ถ้าหากแพทย์ผู้รักษาไม่พร้อมจริงๆ

แพทย์ สามารถ “เลือกที่จะส่งต่อไปยังแพทย์ท่านอื่น เพื่อการรักษาที่เหมาะสมกว่า” ได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ทางแพทยสภาได้แถลงไว้ รวมถึง กล่าวว่า หากผู้ป่วยไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงถึงแก่ชีวิต หากแพทย์ท่านที่รับไว้รักษาตอนแรกไม่พร้อม ก็เลือกที่จะส่งต่อให้แพทย์ท่านอื่นรักษาได้

ดังนั้น ในกรณีข่าวที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามองผิวเผิน แพทย์ ถูกต่อว่าเป็นอย่างมาก ถูกสอบถามหาว่าจรรยาบรรณแพทย์อยู่ที่ไหน แต่ความจริงแพทย์ ข้าพเจ้าเชื่อว่า มีเหตุผลเพียงพอ และเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ

ถ้าเป็นแพทย์ ผู้ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตำรวจเข่นฆ่าประชาชน ทำร้ายประชาชนคนธรรมดา ทำร้ายคนไม่มีทางสู้ จนบาดเจ็บ ล้มตาย ในจิตใจของแพทย์ท่านนั้นแม้ทำใจเป็นกลาง ก็อาจทำใจรับได้ลำบาก อาจมีภาวะบกพร่อง ไม่พร้อมทางจิตใจ มีความเสียใจ กลัดกลุ่ม อาลัย โศกเศร้า กับ สิ่งที่ตำรวจทำ คือนอกจากคุณตำรวจจะไม่ปฏิบัติหน้าที่รักษาประชาชนแล้ว กลับรับใช้ภาคการเมือง ทำร้ายประชาชน! ทำร้ายลูกของใครบางคน-ภรรยาสามีของของใครบางคน-พ่อแม่ของใครบางคน ยิงแพทย์ที่วิ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย ยิงทหารกาชาด ผิดหลักมนุษยธรรมสากลอย่างยิ่ง และที่สำคัญ ทำร้ายประชาชน พสกนิกร ลูกของแผ่นดิน

แพทย์ที่ไม่สามารถทำใจได้ อาจทำให้การรักษาคุณตำรวจอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ

ท่านผู้อ่านลองคิดนะครับ ว่าถ้าผู้ตาย ผู้บาดเจ็บเป็นญาติสนิท มิตรสหายเราดู ถ้าท่านเป็นแพทย์ท่านจะรักษาฆาตกรที่ฆ่าลูก ฆ่าพ่อคุณ รวมถึงทำร้ายเพื่อนแพทย์คุณด้วย คุณจะรักษาเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

อย่าลืมว่าแพทย์ก็เป็นคน มีความเสียใจ สลด โศกเศร้าได้ ซึ่งความเสียใจนี้ ส่งผลต่อการรักษาครับ

ข้าพเจ้าจึงเห็นควรว่า เรื่องนี้ ทางที่ถูก ก็คือว่า หากแพทย์ที่รับผู้ป่วยไว้รักษา ไม่พร้อมทางจิตใจ การปฏิบัตินั้น คือไม่ใช่ปฏิเสธการรักษา แต่ทว่า เป็นการเลือกที่จะส่งต่อไปให้แพทย์ท่านอื่นที่พร้อมรักษาจะดีกว่า

และที่สำคัญ ก็ล้วนเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเอง

ดังนั้น ก็เหมือนเวลาที่คุณหมอป่วยเองนั่นแหละครับ แล้วจะให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร (ในกรณีนี้เป็นการป่วยทางใจ)

551000012863101

551000012863102

551000013262902

551000013262903

551000013262905

นอกจากนี้ ในกรุงเทพฯ ยังมีแพทย์ที่พร้อมรักษาคุณตำรวจอยู่อีกนะครับ คุณตำรวจที่บาดเจ็บจากการไปไล่ทุบตี ยิง ประชาชน สามารถเลือกได้!

แต่ในกรณีว่า ถ้าผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัสมาจริงๆ แพทย์ก็ต้องรักษาครับ

ในขณะ ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ใช่แพทย์ เห็นฆาตกร ก็สามารถเลือกที่จะไม่สนใจใยดีได้ โดยไม่ถูกสังคมต่อว่าขนาดนี้ ในหลายๆครั้งที่ฆาตรกรถูกประชาชนประชาทัณฑ์

ในวงการแพทย์เราไม่สามารถทำร้ายใครได้ครับ และไม่สามารถลงทัณฑ์ใครได้ด้วย แพทย์ต้องคงยัดมั่นในจริยธรรมแห่งวิชาชีพ เพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรี และเพื่อ “ประชาชน” ไม่ใช่แค่เพื่อตำรวจ

ก็ตรงกันกับ บทบัญญัติบังคับในสนธิสัญญาเจนีวา สัญญาเพื่อการปฏิบัติต่อเชลยศึก ที่กล่าวถึงเรื่องการรักษาไว้ การรักษาเพื่อประโยชน์ศัตรูหรือเชลยศึก โดยไม่เลือกปฏิบัตินั้น ไม่ได้ระบุไว้ว่าต้องเจาะจงแพทย์ผู้รักษา เพราะหากแพทย์คนแรกที่รับไว้ ไม่พร้อมรักษา ก็ส่งต่อให้แพทย์ผู้อื่นที่พร้อมจะดีกว่า

และถูกต้องตามจริยศาสตร์ทางการแพทย์ ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยที่มารักษา

ถ้าเป็นข้าพเจ้าเอง ด้วยความเศร้าสลด ไม่พร้อมที่จะให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่คุณตำรวจ แม้จะเป็นผู้ป่วยคนอื่นๆก็ตาม ก็คงรบกวนอาจารย์แพทย์ท่านอื่นดูแลแทน นี่ถือเป็นการทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย ครับ

ดังนั้น เรื่องจากข่าวครั้งนี้ จะ ถูกจะผิด ขึ้นอยู่กับเจตนาของแพทย์ในข่าว หากแพทย์ผู้แถลงการณ์ ทำด้วยจิตใจอคติต่อตำรวจ คิดร้าย ประทุษร้าย ย่อมไม่เหมาะไม่ควร

แต่หากทำด้วยจิตใจมุ่งหวังดีเพื่อประโยชน์ของตำรวจที่บาดเจ็บ ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว ลดความเสี่ยงในการรักษาที่ไม่เต็มศักยภาพ

รวมถึงเป็นการมุ่งหวังตักเตือนคุณตำรวจ ที่ทำร้ายประชาชน ให้เข้าใจถึงหน้าที่ของตน

นี่คือการที่แพทย์ไม่ใช่แค่เพียงรักษาผู้บาดเจ็บเท่านั้น ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์รักษา แต่เป็นคนที่ดี ที่มุ่งหวังตักเตือนสังคม ตักเตือนผู้ทำร้ายประชาชน ให้เลิกกระทำการชั่วร้าย ทำร้ายมนุษย์อย่างผิดหลักมนุษยธรรม

เป็นการรักษาสังคม ไปด้วยในตัว น่ายกย่อง สรรเสริญ…

“ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอเป็นเพียงหมอเท่านั้น แต่ฉันต้องการให้พวกเธอมีความเป็นมนุษย์ด้วย

พระราชดำรัส สมเด็จพระราชบิดา

วันนี้วันเกิดใคร

วันนี้วันเกิดใคร

Thaksin

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม นั่นหมายถึง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูงและต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

ด้วยวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์มีระดับสติปัญญาเหนือว่าสัตว์ชนิดอื่น ทุกวันนี้มนุษย์จึงครองโลก และยังถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ทรัพยากรของโลกมากที่สุดอีกด้วย แพร่พันธุ์ ขยายพันธุ์จนล้นโลก

ตอนนี้ประชากรโลก มีจำนวนประมาณ 6,680 ล้านคนเข้าไปแล้วครับ…

ลองนึกถึงสภาพสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่คืบคลาน ยั้วเยี้ย เต็มผืนโลก (พูดซะเห็นภาพสัตว์ประหลาด หรือหนอนแมลงเลยล่ะครับ)

ผมเคยคิดว่ามนุษย์คือภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับโลก และทุกวันนี้ อย่างน้อย เรื่องภัยพิบัติโลกร้อน(Global warming) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ความคิดนี้ เพราะโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์ทั้งนั้น และก็เป็นปัญหาที่พวกเราต้องช่วยกันแก้ไข

ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนย่อมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามธรรม

คนเรามักให้ความสำคัญกับอดีตจนลืมนึกถึงปัจจุบัน อาทิเช่น การนึกถึงความทรงจำฝังใจ เสียมากกว่าจะตั้งสติในการกระทำต่างๆสำหรับชีวิตประจำวัน บางเรื่องบางคนก็เก็บไว้ทุกข์เป็นสิบปียี่สิบปี ไม่ยอมลืม ทั้งที่การพ้นทุกข์อยู่ที่การปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดของเขาเท่านั้นเอง

วันนี้ ผมจึงมาเขียนถึงเรื่องที่คนให้ความสำคัญกับอดีตเรื่องหนึ่งเช่นกัน คือเรื่อง วันเกิดครับ

คนทุกคนมีวันเกิด และวันครบรอบเกิดได้แต่ละปี จะเรียกกันว่า วันคล้ายวันเกิด

ลองมาเฉลี่ยเท่าๆกันนะครับ จากจำนวนประชากรที่ได้เล่าไว้ ถ้าหากปีปีหนึ่งมี 365 วัน คิดว่า วันวันหนึ่งจะตรงกับวันคล้ายวันเกิดของคนเป็นเกือบยี่สิบล้านคนเลยทีเดียวครับ

มนุษย์เราชอบที่จะฉลองวันเกิดครับ…

•••

population-six-billion-1

วันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ ก็คงเป็นวันคล้ายวันเกิดของใครอีกหลายๆคน

เมื่อวานก่อน วันที่ 26 กรกฎาคม 2551 ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของใครหลายๆคน อย่างน้อย ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของ อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง…

วันคล้ายวันเกิด เป็นวันที่มนุษย์นึกเอาว่าเป็นวันสำคัญของแต่ละคน ในหลายคนที่คิดได้ ก็จะบอกว่า มันก็แค่วันวันหนึ่งเท่านั้นเอง คนดีดีหลายคนใช้วันนี้ในการเตือนตนเองถึงชีวิตที่เหลืออยู่ เตือนถึงการทำดี ถึงบุญคุณของบุพการีผู้ให้กำเนิด หาใช่ไปเที่ยวเล่น มอมเมา มัวเมาสุรา เหมือนวัยรุ่นในสมัยนี้หลายคน กับสังคมที่เสื่อมลง

กลับมากล่าวถึง วันคล้ายวันเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น มีคนร่วมอวยพรทั้งบ้านทั้งเมือง บริวารลิ่วล้อเข้าพบเพื่อคารวะกราบกราน(เงินทองของ)ท่านท่านนั้น

สำหรับฝ่ายตรงกันข้ามก็อวยพรให้ท่านเช่นกัน…

บ้างอวยพรให้มีความสุขเท่าที่ได้ทำดีมา

บ้างอวยพรให้กฎแห่งกรรม แสดงผลเร็วขึ้น

บ้างอวยพรให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ…

แม้แต่บนเวทีการชุมนุม… แกนนำกล่าวอวยพรวันเกิดให้ ทีละคน ทีละคน รวมทั้งมากล่าวถึงความสัมพันธ์ วันวานที่หวานชื่น พร้อมขอให้ได้ไปใช้ชีวิตบั้นปลายในสถานที่รื่นรมย์ นามว่า คุก

ก็ยังเรียกได้ว่ามีคนอวยพรกันทั้งบ้านทั้งเมืองจริงๆ

•••

วันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ ก็เป็น วันเกิดน้องชายผมเองครับ เป็นชายหนุ่มอายุ 17 ปีเสียแล้ว

ธรรมเนียมประจำครอบครัว ที่มีขึ้นทุกวันเกิด ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดใครก็ตามในบ้าน คือการมาประชุม เพื่อกล่าวความในใจที่มีต่อกัน

บ้านนี้ไม่มีเค้กวันเกิด เพียงได้รับประทานอาหารร่วมกันบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการกล่าวอะไรด้วยกันในวันเกิดนี่เอง

ในภายหลัง เมื่อลูกๆทุกคนโตขึ้น และกระจัดกระจายอยู่กันคนละที่ แม้ไม่ได้พบหน้ากัน ก็ใช้วิธีโทรศัพท์ประชุมกันข้ามจังหวัด ข้ามประเทศกันเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งถือเป็นการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

“เนื่องในโอกาสวันเกิดของเกน ขอให้เกนตั้งมั่นในความไม่ประมาท และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น” ส่วนหนึ่งของคำพูดผมผ่านโทรศัพท์

“ขอให้เกนตั้งใจ เพราะอยู่ มอหกแล้ว และมีจุดมุ่งหมายที่จะต้องก้าวหน้าต่อไป” กลางพูด

“สิบเจ็ดปีของชีวิต เกนเป็นความภาคภูมิใจของแม่ รวมถึงตัวลูกๆทุกคน คอยทำให้ชีวิตของแม่มีความสุขเสมอ” คุณแม่กล่าว

“ขอให้ขยันหมั่นเพียร เอาชนะใจตนเอง หมั่นฝึกฝนฝึกปรือ” คุณพ่อกล่าว

เกนดีใจมาก ที่บ้านเรา ทุกวันเกิด จะมีการพูดคุยกันเช่นนี้ เป็นการแสดงความรักที่ดี… น้องชายคนสุดท้อง เจ้าของวันเกิดกล่าวปิดท้าย

ต่อไป ไม่ว่าวันเกิดใคร แม้ว่าจะนั่งอยู่ในส้วมก็ตาม สงสัยคงต้องโทรคุยกัน อย่างนี้ตลอดไปแน่ๆ ผมเสริม ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนมาทางโทรศัพท์

•••

มีวันเกิด ก็ย่อมมีวันดับ ทุกคนล้วนไม่พ้นความตาย หากแต่ว่าในช่วงที่มีชีวิตอยู่ได้ทำอะไรไว้บ้าง

ชีวิตหนึ่งกว่าจะได้เกิดมานั้นยากเย็น จะเพียงแค่สูบอากาศหายใจไปวันวันก็ใช่ที่

วันนี้ ผู้อ่านคิดหรือยังครับ ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ทำอะไร อยู่ไปทำไม? เตือนตนเองถึงภารกิจในชีวิตนี้

อย่างน้อย อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยการทำเลว จนคนสาปแช่งไปทั่วปฐพี และจะถูกตัดสินจำคุกในเร็วๆนี้ละกันครับ

หลับเถิดข้ารับใช้ฟ้า ปวงประชาธิปตาย

หลับเถิดข้ารับใช้ฟ้า ปวงประชาธิปตาย

 

 

3974857low

 

 

 

ขึ้นหัวข้อมาเช่นนี้ ย่อมมีความหมาย…

จะว่าไป ข้าพเจ้ายอมรับว่า หัวข้อเรื่องวันนี้ เลียนแบบมาจากคำพูดบนเวทีชุมนุม ที่ว่า หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย เป็นการเหน็บแนมเหล่าทหาร ที่ยินยอมให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นจะหมิ่นเหม่ต่อการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องคุณจักรภพ, ขบวนการโจมตีสถาบัน ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ-เว็บไซต์โจมตีราชวงศ์-รัฐบาลปกป้องผู้โจมตีสถาบัน ฯลฯ

                คิดว่าคำพูดบนเวที คงเสียดแทงเข้าไปในใจดำของทหารจำนวนมาก โดยเฉพาะในทหารระดับล่าง ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นหลัก

คำพูดเดียวกันนี้ยังสะเทือนใจประชาชนจำนวนมาก ที่ส่วนหนึ่งล้วนมาชุมนุมกันเพื่อขับไล่รัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรมในการบริหารประเทศ

สะเทือนใจ ในความพินาศย่อยยับของประเทศไทย

 

เพราะว่ารัฐบาลอ้างเสียงประชาชนจำนวนมากที่เลือกเข้ามา โดยไม่สนใจประชาชนจำนวนมากที่ไม่ชอบใจรัฐบาลเช่นกัน

                กลับมาดูชื่อเรื่องของข้าพเจ้านี้ แม้จะเลียนแบบมา กลับเป็นคนล่ะความหมาย

เป็นความหมายโดยรวมของปัญหาประเทศชาติทุกวันนี้

ทุกวันนี้ ปัญหาของประเทศชาติ ที่มีมากมายมหาศาลนั้น ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ กลับไม่ได้มีครั้งใดที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้อีกแล้ว

เพราะ มิใช่เพียงแค่เรื่องของการทุจริตมหาศาล อีกต่อไปแล้ว

                มิใช่เพียงแค่เรื่องของนอมินี ที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อพวกพ้อง

                มิใช่แค่เรื่องโจมตีสถาบันสูงสุด เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ยุทธการพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน

                แต่กลายเป็นเรื่องที่หนักกว่านั้น คือ การเสียแผ่นดิน

นำไปสู่การ การสูญเสียอธิปไตย

 

1658692_GpQL2r1Ko54043

               

ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ปี2475 ถามว่า มีครั้งใดที่ประเทศไทยเสียแผ่นดินบ้างหรือไม่…

                มีครั้งใดที่สูญเสียชิ้นส่วน ของด้ามขวานทองคำแห่งนี้หรือไม่…

                ครั้งนี้ กับเรื่องที่ถือว่าร้อนแรง ร้ายกาจ ที่สุดในตอนนี้ ปราสาทพระวิหาร จึงเป็นเรื่องพิสูจน์ชัดเจนตอบข้อสงสัยว่า รัฐบาลไทยยอมเสียตัว ประสาทพระวิหาร ให้เป็นของกัมพูชา เพื่ออดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะเข้าไปลงทุนธุรกิจ และประโยชน์มหาศาลในประเทศแห่งนั้น ใช่หรือไม่?

                โดยมีผู้จัดการเบ็ดเสร็จ คือ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ที่เป็นทนายความหน้าหอของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนั้น นั่นเอง ร่วมมือกับอีกหลายฝ่าย จนจดทะเบียนเป็นมรดกโลกเบ็ดเสร็จ เขมรไชโย?

                ประชาชนไทย คนเฒ่า คนแก่ น้ำตานองกันทั้งประเทศ รัฐบาลนี้ทำสิ่งนี้เพื่อใคร ประชาชนไม่เคยได้มีฉันทามติให้ยกปราสาทพระวิหาร ไปเป็นของกัมพูชาเลยแม้แต่น้อย

คุณย่าของข้าพเจ้ายังจำได้ดีกับ ถ้อยคำแถลงของ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นถึงจอมพล สมัยสี่สิบห้าสิบปีก่อน แถลงด้วยความเจ็บช้ำ น้ำตาตกใน ถึงกรณีคำตัดสินของศาลโลก ที่ประชาชนชาวไทยไม่เคยยอมรับ ว่าเราสูญเสียปราสาทแห่งนี้ ให้แก่ผู้ใด และทางขึ้นปราสาทก็อยู่ในฝั่งไทย จะมาแอบอ้างว่าปราสาทเป็นของผู้อื่นได้อย่างไร

ข้ออ้างจำนวนมากที่รัฐบาลใช้ ว่าไทยไม่เสียดินแดน ไทยไม่เสียประโยชน์ กลับฟังไม่ขึ้นเลย ในสายตาประชาชน

เพราะเรื่องนี้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ถือว่าเสียชาติ เสียแผ่นดิน

จะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างชาติเลยทีเดียว

บนผืนแผ่นดินที่บรรพบุรุษ ของพวกเรา นับพันปี ได้ต่อสู้กันมาเพื่อให้เรามีประเทศไทยทุกวันนี้

เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย เพลงชาติที่ต่อไปเราจะร้องได้ไม่เต็มปากอีกแล้ว

ประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่คน กับความสูญเสียของคนทั้งชาติ

แล้วเราจะมีหน้าบอกลูกหลานไทยต่อไปได้อย่างไร ว่าเราไม่เคยเสียเอกราช เสียแผ่นดิน

 

มาพูดถึงเรื่องการสูญเสียอธิปไตย

อำนาจอธิปไตย หมายถึงอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นอำนาจทางกฎหมายที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไว้คอยบังคับประชาชนให้กระทำ หรืองดเว้นการกระทำสิ่งใด

                อำนาจสูงสุดของระบอบประชาธิปไตย ก็คือ อำนาจที่มาจากปวงชน

                แต่ประชาธิปไตยไทยแบบปลอมๆ ที่ยังขึ้นอยู่กับอำนาจทุน ซื้อเสียงเบ็ดเสร็จได้นั้น จึงทำให้อธิปไตยของประเทศนี้ ขึ้นอยู่กับนักลากตั้ง ที่มีเงินมาก ก็ซื้อเสียงมาลงคะแนนหย่อนบัตร แล้วเข้าไปกอบโกยในสภา

                แม้ว่าของเราจะพยายามเลียนแบบฝรั่ง คือจะพยายามแบ่งอำนาจเป็น อำนาจรัฐ-ฝ่ายบริหาร อำนาจการออกกฎหมาย-นิติบัญญัติ และ อำนาจศาล-ฝ่ายตุลาการ ก็ตาม

                แต่อำนาจรัฐ และอำนาจนิติบัญญัติ ถูกซื้อได้ด้วยอำนาจทุนจนหมดเสียสิ้นแล้ว

การค้ำยันอำนาจทุกวันนี้ เลยกลายเป็นเรื่องการฝากความหวังไว้ที่ฝ่ายตุลาการเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งก็ยังมีความเชื่อกันว่า บางส่วนซื้อได้… เช่นกัน พวกชนชั้นกลางก็รอลุ้นถึงความยุติธรรมภายใต้ ฟ้า เมืองไทย

                การเสียปราสาทพระวิหาร ครั้งล่าสุดนี้ ยิ่งตอกย้ำการสูญเสียอธิปไตย

                เพราะแม้แต่อำนาจทุนที่ผ่านมาทั้งหลายทั้งปวง ต่างไม่มีกล้าก้าวล่วงไปถึงเรื่องการเฉือนแผ่นดิน แลกประโยชน์กับกลุ่มทุน

                ครั้งนี้ จึงถือว่าหนักหนาสาหัสมาก

                ล่าสุดข้าพเจ้าจึงขอชื่นชม และสรรเสริญเป็นอย่างยิ่งกับกรณี ข้าราชการท่านหนึ่ง คือ ท่านพลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ที่ออกมาเรียกร้องทหารออกมาร่วมชุมนุม ปกป้องพระมหากษัตริย์ จากการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเรื่องที่ท่านเคยทำหนังสือคัดค้านเรื่องขึ้นทะเบียนพระวิหาร

                ถ้าพูดโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ฝักใฝ่ รักในหลวง ถือว่า นี่คืออีกหนึ่งทหารของพระราชา

                ดังนั้น รัฐบาลยิ่งต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ มิใช่เพียงถือว่าเสียงในสภาเยอะกว่า จะยกปราสาทให้ใครก็ได้

 

ก็ขอทิ้งท้าย ว่า…

ถ้า ข้าราชการทุกฝ่าย ทุกเหล่า ข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าของแผ่นดิน ยังยอมเรื่องนี้กันอยู่ได้

ก็ควรยกประเทศนี้ให้เป็นของ คนที่ได้ประโยชน์จากการเฉือนแผ่นดินครั้งนี้เลย ไม่ดีกว่าหรือ

ตอกปิดฝาโลงศพประเทศไทย

บนน้ำตา เลือดเนื้อ ของประชาชน

ประชาธิปตาย…